หลังจาก
"ลุงแท๊กซี่" ขับรถจากไป
พี่เม่ยก็ได้เข้าไปหาหลานสาวคนดีถึงห้องพัก
สอบถามความเป็นอยู่แล้วได้ทราบข่าวว่า "อาซ้อ(พี่สะใภ้)"
มาเที่ยวกรุงเทพฯอยู่พอดี ขณะนี้อยู่ที่
"สยามพารากอน" กำลังจะเข้าไปชม "สยาม
โอเชี่ยนเวิลด์"
ได้การ!
เราสองคนจับแท๊กซี่ตรงดิ่งไปที่สยามพารากอนทันที เพื่อไปรวมกลุ่มกันเข้าชมโลกใต้ทะเลในกรุงเทพฯ (แน่นอน...งานนี้พี่เม่ยได้เที่ยวฟรี..เถ้าแก่เนี้ยจ่าย!.)
คนเที่ยวเยอะมากค่ะ อาจจะเป็นเพราะช่วงหยุดสงกรานต์ด้วย
และตามธรรมเนียมของ "พี่เม่ยเข้ากรุง"
ก็ต้องถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานเพื่อนำกลับไปโอ้อวดคนที่บ้านกันสักหน่อย...
ระหว่างเดินชมปลาหลากหลายชนิดด้วยความชื่นมื่น
ก็ได้เห็นเด็กๆกำลังมุงดูตู้กระจกขนาดใหญ่
แล้วหัวเราะชอบอกชอบใจกันอยู่
พี่เม่ยจึงเดินเข้าไปดูด้วยความอยากรู้ว่าเขาทำอะไรกัน
ก็ได้เห็นแมวน้ำคู่หนึ่ง ขนาดตัวยาวประมาณเด็ก 7-8
ขวบได้ กำลังแหวกว่ายไปมาโชว์การหมุนตัว อยู่ในตู้ที่ค่อนข้าง
"แคบ"
เหลือบไปเห็นป้ายติดอยู่ข้างตู้
อ่านแต่ไกลเห็นเขียนว่า "เรื่องของแมวน้ำสองตัว"
เล่าเรื่องราวของแมวน้ำที่ได้มา ตัวหนึ่งได้รับบาดเจ็บและติดมากับตาข่ายของชาวประมง
ไม่มีใครรู้สาเหตุของการบาดเจ็บ แต่คาดว่าจะถูกตีโดยอาวุธ
แมวน้ำถูกนำมารับการดูแลฟื้นฟูจากอะควาเรี่ยมท้องถิ่น หลังจากนั้นก็ได้ตัวที่สองตามมา
การส่งต่อแมวน้ำมีปัญหาหลายๆอย่างด้วยกฏหมายนำเข้าสัตว์ของแต่ละประเทศ
สุดท้ายเจ้าแมวน้ำทั้งสองตัวก็ได้มาอยู่ที่นี่ (ถ้าเข้าใจไม่ผิดพลาด
เหมือนจะบอกด้วยว่าอาจจะต้องถูกย้ายไปที่อื่นอีก)
ทุกชีวิตมี...คุณค่า..
น่าสงสารแมวน้ำทั้งสอง
ที่ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใครแม้แต่น้อยนิด
แต่กลับถูกทำร้ายโดยผู้ที่ได้ชื่อว่า มีโอกาสมากกว่า
จนทำให้ชีวิตของมันทั้งสองต้องผกผันมาอยู่ในตู้ที่แคบๆ
แทนที่จะเป็นมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล
แต่ก็ยังถือเป็นโชคที่ได้รับการดูแลจากผู้ที่ได้ชื่อว่า
มีโอกาสมากกว่า ด้วยเช่นกัน
กลุ่มของเราเดินเที่ยวกันจนทั่วเพื่อให้คุ้มค่ากับการที่ต้องจ่ายค่าเข้าชมถึงคนละ
450 บาท สำหรับพี่เม่ยแล้ว คิดว่าเป็นกำไรมหาศาล เพราะนอกจากจะ
"เที่ยวฟรี.." แล้ว
ยังได้ดอกไม้ริมทางดอกที่สองของการเดินทางครั้งนี้แถมมาอีกด้วย
ดอกไม้ดอกที่สองนี้ทั้งสวยงาม ทั้งสดใส
และปรารถนาจะมอบให้กับคนทั้งโลก...จริงๆ