ความรู้กับสภาวะแห่งการรู้
เดวิด โบห์ม เป็นนักวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ชั้นนำของโลก
เขาเป็นชาวอเมริกัน เกิดในปี ค.ศ. ๑๙๑๗ และเติบโตในรัฐเพนซิลเวเนีย
แต่ในปี ค.ศ. ๑๙๕๑ หรือ พ.ศ. ๒๔๙๔
ชะตาชีวิตทำให้เขาต้องระหกระเหทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดไปอาศัยต่างแดน
โบห์มต้องอพยพจากสหรัฐอเมริกาเพราะถูกคุกคามเสรีภาพ
เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์
และถูกเรียกตัวไปสอบสวนโดยคณะกรรมการตรวจสอบกิจการที่ไม่เป็นอเมริกัน
(Un-American Activities Committee)
ในยุครัฐบาลขวาจัดของสหรัฐอเมริกา
แต่โบห์มก็ปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการ
และอพยพหลบหนีไปอยู่ที่บราซิลระยะหนึ่ง จากนั้นจึงอพยพไปอิสราเอล
และมาปักหลักค้นคว้าวิจัยอยู่ในอังกฤษจนเสียชีวิตในปี ค.ศ. ๑๙๙๒
ตลอดชีวิตการทำงานของโบห์ม
เขาได้เสนอทฤษฎีสำคัญเกี่ยวกับควอนตั้มฟิสิกส์ไว้หลายประการ
และเช่นเดียวกับนักวิทยาศาสตร์ควอนตั้มฟิสิกส์อื่นๆ อีกหลายคน
ที่มักพบกับปรากฏการณ์ไม่ธรรมดาและไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยเหตุผลหรือสามัญสำนึกปกติ
ปรากฏการณ์เหล่านี้ทำให้โบห์มและนักวิทยาศาสตร์
ควอนตั้มฟิสิกส์อีกหลายคนหันมาสนใจศาสนาและปรัชญาตะวันออก
สำหรับโบห์ม ได้รับอิทธิพลจากกฤษณะมูรตินักปราชญ์ชาวอินเดีย
และได้ให้ความสนใจสมาธิภาวนาอย่างมาก
เขาเชื่อว่าเมื่อมนุษย์มีความรู้สมบูรณ์ขึ้น
วิทยาศาสตร์กับศิลปะที่เคยเป็นคนละเรื่องกันอย่างที่เราเข้าใจในปัจจุบันนั้น
จะผสมกลมกลืนกันเป็นหนึ่งเดียวในที่สุด
เพราะความรู้ที่ไม่สมบูรณ์ของมนุษย์นั่นเอง
ที่ทำให้ศาสตร์สาขาต่างๆ
และศิลปะกลายเป็นคนละเรื่องแยกขาดออกจากกัน
สาเหตุที่นักวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์หันมาสนใจศาสตร์ตะวันออกเกี่ยวกับสมาธิภาวนาและการฝึกจิตมากขึ้นนั้น
เป็นเพราะการทดลองและข้อค้นพบหลายอย่างในควอนตั้มฟิสิกส์
ได้ทำให้ความคิดวิทยาศาสตร์แบบเดิมเป็นปัญหา
เช่นพบว่าสิ่งที่ถูกสังเกตในการทดลองเดิม
ที่เคยยึดถือกันว่ามีคุณลักษณะคงที่แน่นอน
กลับมีคุณลักษณะเปลี่ยนแปลงไปตามการสังเกตรับรู้ของมนุษย์
หรือจากเดิมที่เคยคิดว่า
สสารและพลังงานเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงและเป็นสองสถานะที่แยกขาดจากกัน
วิทยาศาสตร์ใหม่กลับพบว่า
สิ่งที่สังเกตตรวจวัดในการทดลองนั้นมีความไม่แน่นอนและไม่แบ่งแยกเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างเด็ดขาด
ปรากฏการณ์เดียวกันนั้น บางขณะแสดงตัวเป็นอนุภาค
แต่บางขณะกลับแสดงตัวเป็นคลื่น
เรียกว่า ประเดี๋ยวเป็นสสาร ประเดี๋ยวกลับกลายเป็นพลังงาน
ขึ้นอยู่กับการสังเกตตรวจวัด
และเครื่องรับรู้
จากวิทยาศาสตร์แบบเดิมที่ถือว่า
ความรู้ที่ถูกต้องเที่ยงตรงต้องเกิดจากการแยกผู้สังเกตกับสิ่งที่ถูกสังเกตออกจากกัน
และความรู้ที่เป็นสากลจะต้องไม่ขึ้นกับจิตรับรู้ของมนุษย์นั้น
วิทยาศาสตร์ใหม่กลับพบว่า
ปรากฏการณ์ทุกอย่างล้วนสัมพัทธ์และสัมพันธ์กับการรับรู้อย่างแยกไม่ออก
จะเรียกว่า
สรรพสิ่งเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับจิตรับรู้ก็ได้
เมื่อความแน่นอนกลายเป็นไม่แน่นอน เพราะไปขึ้นกับการรับรู้
ความเป็นเหตุเป็นผลที่แน่นอนตายตัวและไม่ขึ้นกับจิต
จึงกลายเป็นเรื่องที่สับสนอย่างยิ่งจนคาดเดาล่วงหน้าไม่ได้
แต่โบห์มต่างจากนักฟิสิกส์บางคนตรงที่เขาเชื่อว่า
ภายใต้ความไม่แน่นอนและสับสนนั้น
แท้จริงมีกฎเกณฑ์หรือความเป็นระเบียบที่แฝงเร้นอยู่ ซึ่งโบห์มเรียกว่า
Implicate order
แต่การที่จะเข้าถึงความเป็นระเบียบที่แฝงเร้นอยู่นั้น
จะต้องอาศัยภูมิจิตภูมิปัญญาที่แตกต่างออกไปจากจิตคิดแบบวิทยาศาสตร์เดิม
คือต้องเป็นจิตที่ผ่านการฝึกฝนมาดี และเป็นอิสระจากกรอบความคิด ภาษา
และระบบสัญลักษณ์
ที่ได้กลายเป็นพันธนาการจองจำวิธีคิดของวิทยาศาสตร์แบบเดิมไปเสียแล้ว
ในแง่นี้ โบห์มให้ความว่า
คณิตศาสตร์ก็เป็นระบบสัญลักษณ์อย่างหนึ่งด้วย
และวิทยาศาสตร์เก่าได้ติดยึดกับคำอธิบายที่เป็นตัวเลขและแบบจำลองทางคณิตศาสตร์มากเสียจนไม่สามารถรับรู้ความจริงแบบอื่นได้
เรียกว่า
ต้องทำทุกอย่างให้เป็นตัวเลขจึงจะคุยกันแบบวิทยาศาสตร์ได้
โบห์มคิดว่า กรอบความคิด ภาษา และสัญญะ เหล่านั้นมีปัญหา
และการที่จะก้าวพ้นจากอุปาทานการติดยึดกับสิ่งเหล่านี้ได้
นักวิทยาศาสตร์ต้องฝึกให้รู้เท่าทันวิธีคิดและจิตรับรู้ของตนเองด้วย
ในระยะหลังนี้
เราจึงเห็นนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำหันมาสนใจศาสตร์ทางจิตและศาสนาตะวันออกต่างๆ
มากขึ้น
โดยเฉพาะมีการจัดการสนทนาระหว่างนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลกกับองค์ดาไล
ลามะ แห่งธิเบตที่จัดขึ้นทุก ๒ ปี ติดต่อกันมากว่า ๒๐ ปี นับตั้งแต่
ค.ศ. ๑๙๘๗ แล้วนั้น
ได้ทำให้เห็นได้ว่าศาสนาและภูมิปํญญาตะวันออกสามารถให้คำตอบเกี่ยวกับธรรมชาติของสรรพสิ่งได้อย่างน่าสนใจและลุ่มลึกยิ่งกว่าทัศนะแบบวัตถุนิยมกลไกของวิทยาศาสตร์เสียอีก
วิทยาศาสตร์กำลังอภิวัฒน์ตัวเองอย่างช้าๆ
ด้วยการเรียนรู้จากภูมิปัญญาตะวันออก
แม้เราจะไม่สามารถคาดเดาได้ว่าวิทยาศาสตร์ใหม่จะลงเอยอย่างไร
แต่สิ่งหนึ่งที่กำลังเปลี่ยนไปก็คือ ทัศนะของวิทยาศาสตร์เดิมที่ถือว่า
ความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์เป็นความรู้สากล
ไม่ขึ้นกับจิตรับรู้ของมนุษย์
หรือเรียกว่าความรู้กับสภาวะแห่งการรู้นั้นแยกขาดจากกันได้
ความรู้แบบวิทยาศาสตร์จึงเป็นสิ่งที่คนรู้คนหนึ่งเอามาอธิบายให้อีกคนหนึ่งรู้ได้
เพราะความรู้เป็นเรื่องภายนอกที่บอกเล่า เรียนรู้กันได้จากการคิด
โดยไม่เกี่ยวกับพื้นภูมิของจิต
แต่ภูมิปัญญาตะวันออกบอกว่า ความรู้กับสภาวะแห่งการรู้ที่แท้จริงนั้น
มิอาจแยกจากกัน
และความรู้ที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับสภาวะแห่งการรู้นั้นคือปัญญา
โบห์มเชื่อว่า
การที่นักฟิสิกส์ต้องพบกับปรากฏการณ์ที่สะท้อนความเป็นจริงแบบใหม่นี้
เป็นโอกาสดีที่จะเข้าถึงความรู้และสภาวะแห่งการรู้ใหม่
เพราะความจริงใหม่นี้จะท้าทายและรื้อเลาะอุปาทานที่เคยติดยึดอยู่ได้
หากเป็นเช่นนั้น
วิทยาศาสตร์ใหม่อาจเป็นหนทางหนึ่งของการเข้าถึงปัญญาที่แท้จริงได้
เพราะการทำงานวิทยาศาสตร์เพื่อให้รู้เท่าทันความคิดและให้จิตเป็นอิสระจากอุปาทานนั้น
แท้จริงก็คือการปฏิบัติธรรมนั่นเอง
โกมาตร
จึงเสถียรทรัพย์
กลุ่มจิตวิวัฒน์
โครงการจิตวิวัฒน์
มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์
สนับสนุนโดย
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
ไม่มีความเห็น