บทสำรวจแนวพรมแดนแห่งการละเมิดสิทธิ ...ที่สาละวิน


เป็นวันสงกรานต์ที่ว่างและได้นั่งอ่านหนังสืออย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง

ฝากบทความสำหรับผู้สนใจเรื่องแรงงานข้ามชาติจากประเทศพม่า

บทความชิ้นนี้เขียนร่วมกับเพื่อนรักครับ ตอนนี้เธอได้ทุน API ลัดฟ้าไปทำวิจัยที่ประเทศญี่ปุ่นครับ

บทสำรวจแนวพรมแดนแห่งการละเมิดสิทธิ ...ที่สาละวิน
ดรุณี ไพศาลพาณิชย์กุล , อดิศร เกิดมงคล

อนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติ และผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ

 

ใครบางคนเล่าถึงงานวิจัยเกี่ยวแม่น้ำสาละวิน หรือ ตาลวิน (Thanlawin) หรือน้ำคง (Nam Kong) สายน้ำที่ใหญ่และยาวที่สุดเป็นอันดับสองแห่งอุษาคเนย์ ให้ฟังว่า สองฝั่งของแม่น้ำสายนี้เป็น ‘บ้าน’ ของกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มต่างๆ ไม่ต่ำกว่า 13 กลุ่ม เช่น ไทยใหญ่ ว้าหรือลั๊วะหรือละว้า คะยาหรือคะเรนนีหรือกะเหรี่ยงแดงหรือบะแว อาระกันหรือยะไข่ ปะโอ ปะหล่องหรือดาระอั้ง ปะด่อง อาข่า ลีซู อินตาแล ฯลฯ จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นลุ่มน้ำที่มีกลุ่มชาติพันธุ์ชนพื้นเมืองมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แต่ละครัวเรือน รวมกันเป็นชุมชนขนาดย่อม ปรากฎตัวตามที่ราบเล็กๆ กลางหุบเขา หรือที่ราบริมฝั่งสาละวิน

งานวิจัยชิ้นนี้เป็นน้ำพักน้ำแรงของคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงจาก 50 หย่อมบ้านในเขตอำเภอแม่สะเรียงและอำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน พวกเขาเป็นหนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลายแห่งสายน้ำสาละวิน ...เกิด เติบโตและจากไป-จากรุ่นปู่ทวดสู่รุ่นพ่อรุ่นลูกหลาน ความรู้และวัฒนธรรมในชุมชนเป็นสิ่งที่ยึดโยงคนแต่ละรุ่น- “ฉกี่คึ” หรือ “ไร่เหล่า” หรือ “ไร่ข้าว” คือวิถีการเกษตรหมุนเวียนที่รักษาความอุดมสมบูรณ์ของผืนดิน, การทำนาข้าว ในบริเวณที่ราบลุ่มริมฝั่งลำห้วย โดยใช้วิธีขอยืมน้ำจากลำห้วยให้ไหลผ่านนาขั้นบันไดไปหล่อเลี้ยงต้นข้าว และไหลกลับคืนลำห้วยดังเดิมนั้นเป็นระบบเหมืองฝายในวิถีพื้นบ้าน, วิธีการจับปลาในแก่ง วังน้ำ หาดทรายหรือตามลำห้วยสาขา, การเลือกเก็บพืชผักเพื่อมาใช้รักษาอาการเจ็บป่วย ฯลฯ นอกจากมันจะหมายถึงการได้มาซึ่งอาหารเพื่อยังชีพแล้ว ในอีกด้านหนึ่ง ผืนป่าสาละวินที่ยังคงอุดมสมบูรณ์ พันธุ์ข้าวพื้นเมืองและพันธุ์ปลาที่ยังคงความหลากหลาย (พันธุ์ข้าวพื้นเมืองร่วม 52 ชนิด พันธุ์ปลาร่วม 77 ชนิด) รวมไปถึงความหลากหลายของพืชผักริมฝั่งสาละวิน ที่เป็นอาหาร (39 ชนิด) เป็นสมุนไพร (77 ชนิด) รวมถึงหลายชนิดสามารถเป็นได้ทั้งสองอย่าง (23 ชนิด) เป็นหลักฐานยืนยันได้ดีถึงวิถีชีวิต องค์ความรู้ และจารีตแห่งชุมชนที่เคารพและปกป้องนิเวศน์แห่งผืนป่าและสายน้ำ

อย่างไรก็ดี หลายปีที่ผ่านมาชุมชนสองฟากฝั่ง สายน้ำ สัตว์ป่าและผืนป่าแห่งสาละวินกำลังถูกคุกคามจากโครงการก่อสร้างเขื่อนขนาดใหญ่โดย 2 รัฐริมฝั่งไทย-พม่า หรือ โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำสาละวินชายแดนประเทศไทย-เมียนม่าร์ ทุกชีวิตกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากการดำเนินการโครงการฯ ...ซ้ำเติมปัญหาและความทุกข์ก่อนหน้า


แนวพรมแดนแห่งการละเมิดสิทธิ

1. รายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม-ข้อมูลที่หายไป

“การดำเนินโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม จะกระทำมิได้ เว้นแต่จะได้ศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม รวมทั้งได้ให้องค์การอิสระซึ่งประกอบด้วยผู้แทนองค์การเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมและผู้แทนสถาบันอุดมศึกษาที่จัดการการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม ให้ความเห็นประกอบก่อนมีการดำเนินการดังกล่าวทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ” มาตรา 46 วรรค 2 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540

“บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับข้อมูล คำชี้แจง และเหตุผลจากหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น ก่อนการอนุญาตหรือการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมใดที่อาจมีผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดที่เกี่ยวกับตนหรือชุมชนท้องถิ่น และมีสิทธิแสดงความคิดเห็นของตนในเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ ตามกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่กฎหมายบัญญัติ” มาตรา 59 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540

ดูจะกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปแล้วว่า ภายใต้การดำเนินการโครงการขนาดใหญ่ที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมนั้น ข้อมูลที่สืบค้นหาได้ง่ายที่สุดเห็นจะเป็นข้อมูลด้านบวกหรือผลประโยชน์ที่อาจได้รับจากโครงการฯ

เครือข่ายแม่น้ำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้รวบรวมและสรุปความถึงข้อมูลจำเพาะของโครงการได้ความว่า โครงการก่อสร้างเขื่อนบนแม่น้ำสาละวินนั้น ประกอบไปด้วยโครงการเขื่อนท่าซาง ตัวเขื่อนแม่และเขื่อนลูก (เนื่องจากทั้งสองโครงการใช้เทคโนโลยีผลิตไฟฟ้าแบบสูบน้ำจากเขื่อนด้านล่างกลับขึ้นไปใช้ใหม่ แต่ละโครงการจึงต้องสร้างเขื่อนสองเขื่อนควบคู่กัน คือ เขื่อนแม่และเขื่อนลูก) กั้นแม่น้ำสาละวินบริเวณท่าเรือท่าซาง ตอนใต้ของรัฐฉาน ประเทศพม่า ห่างจากชายแดนไทยด้านจังหวัดเชียงใหม่ประมาณ 130 กิโลเมตร มีบริษัท MDX บริษัทสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าเอกชนของไทยเป็นเจ้าของโครงการร่วมกับรัฐบาลพม่า เริ่มดำเนินโครงการในปี 2541 กำลังการผลิตรวมประมาณ 3,300 เมกะวัตต์ อีกโครงการคือโครงการเขื่อนสาละวินตอนบน (ตั้งอยู่ที่เว่ยจี) และตอนล่าง (ตั้งอยู่ที่ ดา-กวิน) กั้นแม่น้ำสาละวิน บริเวณอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยมีการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นเจ้าของโครงการร่วมกับรัฐบาลพม่า

พ้นไปจากข้อมูลจำเพาะของโครงการ ข้อมูลอีกด้านที่ถูกเปิดเผยจากหน่วยงานรัฐไทยอย่าง กฟผ. ก็กลับปรากฎเพียงคำชวนเชื่อถึงค่าไฟราคาถูกที่ราคา 90 สตางค์ต่อหน่วย

ขณะที่ข้อมูลสำคัญที่สุด แต่ยังขาดความชัดเจนที่สุดก็คือ คำถามของผู้คนและชุมชนแห่งสาละวิน รวมถึงทั้งจังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่ว่า ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สังคมมีอย่างไรบ้าง กี่ชีวิตกี่ชุมชน กี่ตารางกิโลเมตรของพื้นที่ทั้งในฝั่งรัฐไทยและพม่าที่จะถูกท่วมกลืนจากโครงการก่อสร้างเขื่อน มาตรการลดผลกระทบจะเป็นอย่างไร การเยียวยาความเสียหายที่หากเกิดขึ้นจะเป็นอย่างไรฯลฯ

ถึงปัจจุบัน ต่อคำถาม ความสงสัยนี้มีเพียงข้อมูลที่ไม่เป็นทางการ ที่ว่า ผลกระทบของเขื่อนตอนบนที่เว่ยจีนั้น จะทำให้เกิดน้ำท่วมพื้นที่รัฐคะเรนนีในรัฐพม่า และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสาละวินในฝั่งรัฐไทย ส่วนเขื่อนตอนล่างจะทำให้น้ำท่วมรัฐกะเหรี่ยงในฝั่งพม่า และอุทยานแห่งชาติสาละวินฝั่งไทย โดยมีข้อมูลประเมิน ‘อย่างไม่เป็นทางการ’ ระบุว่าพื้นที่กว่า 20,000 ไร่ และ กว่า 28 หมู่บ้านอาจถูกน้ำท่วม โดยพื้นที่ทางการเกษตร 25-30% ต้องจมน้ำเกือบทั้งอำเภอ โดยเฉพาะบ้านท่าตาฝั่ง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ชุมชนไทย-กะเหรี่ยง กว่า 300 หลังคาเรือนแห่งนี้ ถูกประเมินว่า ‘ชุมชนแห่งนี้จะตกอยู่ภายใต้ลำน้ำทั้งชุมชน’ เพราะผลการสำรวจจากกรมป่าไม้ถึงความเหมาะสมและจุดที่ตั้งของสันเขื่อน พื้นที่บริเวณนี้กลับระบุว่า ‘ไม่มีหมู่บ้านและคนอยู่อาศัย’

นอกจากนี้ ในระหว่างทางของโครงการฯ ยังไม่ปรากฎว่ามีการดำเนินขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและชุมชนผู้ได้รับผลกระทบและ/หรืออาจจะได้รับผลกระทบ หรือการประชาพิจารณ์อย่างเป็นทางการ

“การทำประชาพิจารณ์ แสดงความเห็น เค้าทำกันในอำเภอจะให้เราเดินทางเข้าไปในเมืองบ่อย ๆ เราก็ลำบาก กว่าจะเดินทาง กว่าจะเข้าไปในเมือง ต้องเสียค่าเรือ เสียค่าใช้จ่าย ทำไมเค้าไม่ถามเราบ้าง” คือเสียงสะท้อนจากชาวบ้านท่าตาฝั่ง

2. ‘สถานะบุคคล’ ของชีวิตที่ขอบเส้นพรมแดนสาละวิน

2.1 “ชนพื้นเมือง” ในเงาของ ‘ชาวเขา’ ‘ชาวไทยภูเขา’ และ ‘บุคคลบนพื้นที่สูง’

ผู้คนที่เกิดและตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนใดดินแดนหนึ่งมาเป็นเวลานานตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ รวมถึงก่อนการเกิดขึ้นของรัฐ-ชาติ สั่งสมความรู้ ประเพณีวัฒนธรรมที่มีลักษณะเฉพาะและยึดถือเป็นจารีตแห่งชุมชน ในสายตาของสังคมภายนอกที่มีขนาดใหญ่กว่า ความแตกต่างที่ว่าอาจถูกพิจารณาได้ว่าชุมชนลักษณะนี้เป็นคน-ชุมชนดั้งเดิมในดินแดน หรือชนพื้นเมือง (Indigenious People/Native)

แต่สำหรับรัฐไทยแล้ว อัตลักษณ์ของชนพื้นเมืองยังไม่เคยปรากฏ หรือได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ หากคนและชุมชนพื้นเมืองลักษณะนี้ จักอยู่ภายใต้การจำแนกและนิยามที่หลากหลาย ได้แก่

หนึ่ง- กรมการปกครอง นิยามว่าเป็น “ชาวเขา” โดยให้หมายถึง ...ชาวเขาเป็นชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมาเป็นเวลานานแล้ว

สอง-ปี 2528 กรมประชาสงเคราะห์ นิยามว่าว่าเป็น “ชาวเขา” โดยให้หมายถึง กลุ่มชนชาติส่วนน้อย ที่อาศัยถาวรในพื้นที่สูงและทุรกันดารของภาคเหนือและตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐไทย มีภาษา ค่านิยม ความเชื่อ ประเพณีวัฒนธรรมแตกต่างจากชาวไทยพื้นราบ โดยแบ่งเป็น 9 เผ่าหลักคือ (1) กะเหรี่ยง เป็นเผ่าที่อาศัยอยู่ในรัฐไทยมากว่า 200 ปีขึ้นไป ในรัฐไทยแบ่งเป็นกลุ่มสะกอว์ (ปกากญอ) และโปว์ (โพลว์) รวมตัวกันหนาแน่นผืนป่าด้านตะวันตก (2) แม้ว (ม้ง) (3) เย้า (เมี่ยน) (4) อีก้อ (อาข่า) (5) มูเซอ (ลาหู่) (6) ลีซอ (ลีซู) (7) ลัวะ (8) ถิ่น (ลัวะเมืองน่าน) (9) ขมุ (10) ตองซู (กะเหรี่ยงปะโอ) และ (11) ตองเหลือง (มลาบรี)

สาม-ช่วงปี 2535 กรมการปกครอง นิยามว่าเป็น “ชาวไทยภูเขา” โดยให้หมายถึง บุคคลดั้งเดิม ซึ่งเป็นชาวเขาที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บนพื้นที่สูงซึ่งเป็นป่าเขาในประเทศไทย มีวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี เชื้อชาติ ภาษา ความเชื่อ ตลอดจนวิถีทางการดำเนินชีวิตแตกต่างไปจากชาวไทยพื้นราบ ได้แก่ (1) แม้ว (2) เย้า (3) มูเซอ (4) ลีซอ (5) อีก้อ (6) กะเหรี่ยง (7) ลัวะ (8) ถิ่น (9) ขมุ และ (10) กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีลักษณะเช่นเดียวกับชาวเขาซึ่งผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด

สี่-นับจากปี 2543 เป็นต้นมา กรมการปกครอง นิยามว่าเป็น “บุคคลบนพื้นที่สูง” โดยให้หมายถึง (1) บุคคลซึ่งเป็นชาวไทยภูเขา (2) คนไทย (3) กลุ่มชนอื่นๆ ที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูง ซึ่งรัฐบาลมิได้มีนโยบายดูแลดำเนินการเป็นการเฉพาะ และ (4) บุคคลบนพื้นที่สูงที่อพยพลงมาอาศัยอยู่บนพื้นราบด้วย

อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะภายใต้นิยาม ชาวเขา, ชาวไทยภูเขา หรือบุคคลบนพื้นที่สูง ในแง่สถานะบุคคล (หรือสถานะบุคคลตามกฎหมาย-Personal Legal Stauts) ภายใต้กฎหมายรัฐไทย ชนพื้นเมืองย่อมต้องถือว่าเป็น ‘บุคคลผู้มีสัญชาติไทย’

กล่าวโดยรวบรัดก็คือ โดยหลักทั่วไปแล้ว อายุที่ยาวนานของรุ่นคนและชุมชนที่เกิดและอาศัยอยู่ในรัฐไทย ย่อมส่งผลให้หลายชีวิตดังกล่าวมีสถานะบุคคลเป็นผู้มีสัญชาติไทยตั้งแต่ปี 2456 (เป็นไปตามหลักหลักดินแดน ตามมาตรา 3 (3) แห่งพ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.2546 รวมถึงบุตร-หลานก็ย่อมเป็นคนไทยโดยหลักสืบสายโลหิตและหลักดินแดนด้วย)

อย่างไรก็ดี มีประเด็นในทางปฏิบัติของหน่วยงานรัฐไทยที่เป็นปัญหาสำคัญอยู่ประการหนึ่งว่า สถานะบุคคลเป็นผู้มีสัญชาติไทยนั้น ต้องมีหลักฐาน หรือ เอกสารพิสูจน์ทราบตัวบุคคล (Identification Paper) มายืนยัน รูปธรรมง่ายๆ ก็คือ ใครอ้างตัวว่าเป็นไทย ก็ควรที่จะต้องมีสูติบัตรประเภทคนไทย หรือท.ร.๑, ทะเบียนบ้านประเภทคนไทย หรือ ท.ร.๑๔, บัตรประจำตัวประชาชนคนไทย ฯลฯ มาแสดง แม้ว่าในข้อความจริงจะเป็นคนไทย แต่หากไม่มีหลักฐานมายืนยัน ก็เท่ากับว่ายังเป็นคนไร้สัญชาติอยู่ในทางข้อเท็จจริงอยู่ (De Facto Nationalityless Person) และการได้มาซึ่งความเป็นคนไทยตามข้อกฎหมาย (De Jure Thai National) นั้น จำเป็นต้องผ่านกระบวนการพิสูจน์ ซึ่งแน่นอนว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย

2.2 ชนพื้นเมืองในเงาของ ‘ชนกลุ่มน้อย’ และ ‘ผู้อพยพ’

ภายใต้สถานการณ์การกวาดล้างชนกลุ่มน้อยในรัฐพม่าที่ทำให้เกิด ‘ผู้อพยพ’ หรือ ‘ผู้พลัดถิ่น (Displace Person) หรือ ผู้ลี้ภัย (Refugee) ข้ามพรมแดนมายังฝั่งรัฐไทย ชนพื้นเมืองจึงถูกนำไปพิจารณาปะปนกับผู้อพยพและผู้ลี้ภัยในสายตาของรัฐไทยด้วยเช่นกัน

แม้จะมีนิยามต่อ ผู้อพยพ โดยหน่วยงานอื่นของรัฐไทย แต่การจำแนกและนิยามผู้อพยพหรือผู้ลี้ภัย ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย กลับมีบทบาทมากว่าทั้งในระดับนโยบายและทางปฏิบัติ โดยกำหนดว่าให้หมายถึง “บุคคลที่มิได้มีสัญชาติไทย จำนวนน้อยกว่าเจ้าของประเทศ และมีวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีแตกต่างกันไป เข้ามาหรืออาศัยอยู่ในรัฐไทย โดยวิธีการและลักษณะต่างๆ กัน เช่น อยู่มาดั้งเดิม หลบหนีเข้าเมืองมาพักอาศัยชั่วคราว” และดำเนินการจัดทำทะเบียนประวัติและออกบัตรประจำตัวชนกลุ่มน้อย หรือ “บัตรสี” ซึ่งทั้งหมดมีด้วยกัน 17 กลุ่ม

จึงไม่ใช่ภาพที่น่าแปลกใจที่จะเห็น ชนพื้นเมืองแห่งสาละวินบางคนมีบัตรสีที่แสดงตนว่าเป็นชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่างๆ อาทิ บัตรสีฟ้า (บัตรบุคคลบนพื้นที่สูง) บัตรสีชมพู (บัตรผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่า) บัตรสีส้ม (บัตรผู้หลบหนีเข้าเมืองจากพม่า) บัตรสีเขียวขอบแดง (บัตรสำรวจชุมชนบนพื้นที่สูง) บัตรแรงงานต่างด้าว หรือถือกระดาษ A4 ท.ร.๓๘ และที่สำคัญ หลายคนอาจไม่มีบัตรอะไรเลย

2.3 ผู้บุกรุก?

“อ่อ ที กะต่อ ที เหม่ เก อ่อ ก่อ กะต่อ ก่อ เหม่ เก
ใช้ผืนน้ำให้รักษาไว้ ใช้ผืนดินให้รักษาไว้

แพะ คึ ขุ ซี เส่ เตอะ เก แพะ คึ ขุ ซี หว่า เตอะ เก
ถางไร่อย่าฟันไม้ให้ตาย ฟันไร่อย่าถางไผ่ให้ตาย

เส่ หว่า เมะ ลอตุ ลอเช เปอะ บะ กอวี บะ กอเจ
หากไม้และไผ่หมดไป เราจะอดน้ำอดข้าวตาย

เปอะอ่อกะต่อ อ่อกะต่อ กุ อ่อ ปกา เล ตื่อ เล ตอ
เรากินไปเรารักษาไป เราจึงมีกินตลอดไป”

จารีตแห่งชุมชนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงแห่งผืนป่าสาละวิน

ด้วยความที่ป่าสาละวินเป็นเทือกเขาสูงสลับซับซ้อน และแนวเขาที่ทอดตัวจากเหนือจรดใต้อันเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาถนนธงชัย ประกอบด้วยเทือกเขาที่สำคัญๆ คือ ดอยขุนแม่หมอ ดอยผาตั้ง ดอยกองสุม ดอยเกาะแม่หลู่ และดอยขุนกองไหม ปกคลุมไปด้วยป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ป่าเต็งรัง พันธุ์ไม้สำคัญที่พบมี สัก แดง ประดู่ ชิงชัน มะค่าโมง ตะเคียนหนู ตะเคียนทอง เต็ง รัง เหียง พลวง ฯลฯ มีสัตว์ป่าหลากหลายชนิด อาทิ เลียงผา กวางป่า เก้ง หมูป่า หมี หนูหริ่ง เสือปลา วัวแดง กระทิง เสือโคร่ง กระต่ายป่า กระรอก กระแต ชะนี อีเห็น และนกชนิดต่าง ๆ, เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารของแม่น้ำยวม แม่น้ำสาละวิน แม่น้ำกองคา แม่น้ำแม่แงะ และแม่น้ำหาร ฯลฯ รวมไปถึงห้วยแม่แต๊ะหลวง ห้วยแม่แงะ ฯลฯ ด้วยสภาพอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายในผืนป่าแห่งนี้ บ้านของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงจึงถูกนิยามทับซ้อนโดยหน่วยงานรัฐไทยให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติ (ในปี 2505), เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า (ในปี 2541 และปี 2542) และเป็นอุทยานแห่งชาติ ในปี 2537 นับจากนั้น...วิถีเกษตรแบบข้าวไร่หมุนเวียนและวิถีชีวิตที่พึ่งพิงระบบนิเวศน์แห่งสายน้ำ และผืนป่าสาละวินที่สืบเนื่องจากรุ่นปู่ทวดของชุมชนแห่งสาละวิน ก็กลายเป็นสิ่งแปลกปลอมและผิดกฎหมายของรัฐไทย ทั้งๆ ที่ ข้อมูลของกรมป่าไม้เองก็ยอมรับว่า “ภายในป่าสาละวินนี้ มีชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงที่อยู่ในแผ่นดินไทยมาแต่เดิม”

วิถีไร่หมุนเวียน หรือ “ฉกี่คึ” เป็นระบบเกษตรเก่าแก่ที่ทำกันอยู่ทั่วโลก ตัด-ฟัน-เผา ทำในเขตป่า ภูมิปัญญาดั้งเดิมที่เปลี่ยนพื้นที่ป่าให้เป็นพื้นที่เกษตรกรรมแล้วกลับมาเป็นพื้นที่ป่าได้อีก และจะปลูกพืชชนิดต่างๆร่วมด้วย เช่น เผือก มัน ข้าวโพด ข้าวสาลี ถั่วชนิดต่างๆ งา แตงชนิดต่างๆ ผักต่างๆ พริก มะเขือ ฯลฯ ทำให้ไร่ข้าวจึงกลายเป็นแหล่งอาหารสำคัญของของครอบครัว เป็นระบบที่จับหัวใจระบบนิเวศแบบธรรมชาติได้ว่า ถ้าไม่หยุดกับที่หมุนพื้นที่ทำกิน ธาตุอาหารในดินก็กลับมาสู่สภาพเดิม การทำไร่ของชาวบ้านจะมีการทำไร่หลายแปลง ตั้งแต่ 5-7 แปลง โดยจะมีการเวียนกลับมาทำเพาะปลูกเมื่อครบรอบ เพื่อให้ผืนดินได้พักฟื้นและคืนความอุดมสมบูรณ์โดยธรรมชาติ ไม่ใช่ย้ายพื้นที่เกษตรไปเรื่อยๆ อย่างที่เข้าใจกัน แต่เมื่อพื้นที่ฟื้นตัวกลายสภาพเป็นป่า และชาวบ้านเข้าไปทำไร่ข้าว ก็ทำให้เจ้าหน้าที่เกิดความเข้าใจว่ามีการบุกรุกพื้นที่ป่าใหม่ และนำไปสู่การจับกุม

สะท้าน ชีววิชัยพงษ์ หนุ่มไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงแห่งบ้านสบเมยเล่าว่า ชาวบ้านจะถูกเจ้าหน้าที่ป่าไม้จับทุกปี คนที่ถูกจับต้องเสียเงินร่วมหมื่นเป็นค่าปรับ ถ้าไม่มีเงินก็ถูกขังไป และแนวทางของกรมอุทยานแห่งชาติ (หรือกรมป่าไม้-เดิม) ที่มีต่อชุมชนในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ไม่เฉพาะที่สาละวิน ก็คือ ชาวบ้านต้องเลิกการทำไร่หมุนเวียน ต้องย้ายออกไป

“จะให้เฮาย้ายไปไหน เฮาอยู่นี่ป่าบ่เคยหาย ผู้เฒ่าปกากะญอสอนลูกหลานไว้ กินน้ำต้องรักษาน้ำ อยู่ป่าต้องรักษาป่า ถ้าไม่ดูแลป่าหมู่เฮาจะอยู่ได้จะใด ไม่มีผักในป่า ไม่มีปลาในห้วย หมู่เฮาก็ตายกันหมด” พะตีนุ ชำนาญคีรีไพร ชาวบ้านสาละวินแห่งห้วยแม่ก๋อน เล่าให้ฟัง

“ ขวัญของเรา “ปกาเกอะญอ” อยู่ที่ไร่
หน่อแวโถ่บีข่าอะโพ บือพอโอะ เก๊าะอะโจ
เธอคือลูกหลานของนกขวัญข้าว เธอจึงมียุ้งข้าวอยู่ทุกขุนเขา
“ถ้าเราทำไร่ไม่ได้...ก็จะไม่เหลือความเป็นปกากะญอ”

2.4 คนไร้รัฐ ไร้สัญชาติ และหมู่บ้านนอกแผนที่รัฐไทย

ก่อนที่แม่น้ำสาละวินจะมีสถานะทางกฎหมายเป็นพรมแดนทางน้ำระยะทาง 118 กิโลเมตรระหว่างอาณาเขตรัฐไทย-พม่า สาละวินคือสายใยที่เชื่อมโยงเครือญาติของคนสองฝั่งฟาก แต่เมื่อรัฐ-ชาติกำเนิดขึ้น แต่การเคลื่อนไหว เคลื่อนย้าย ตัดข้ามพรมแดนยังคงสืบเนื่องอยู่ต่อมา หลายชีวิตของสองฝั่งสาละวินเริ่มได้ยินถึงนิยามที่เรียกบ้านของตัวเองว่า “พื้นที่ชายแดน” และพวกเขานั้นไม่ใช่ “คนไทย”

ข้อมูลจากงานวันเด็กไร้สัญชาติครั้งที่ 4 ซึ่งจัดโดยศูนย์พัฒนาเครือข่ายเด็กและชุมชน ที่อำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน (6-8 มกราคม 2549) ชี้ว่าหลายขีวิตหลายชุมชนที่สาละวินแห่งนี้ มีสถานะบุคคลที่หลากหลาย ข้อมูลในระหว่างการกล่าวเปิดงานของสิทธิชัย ประเสริฐศรี รองผู้ว่าจังหวัดแม่ฮ่องสอน ก็คือ มีคนไร้รัฐไร้สัญชาติร่วม 150,000 คน ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน นอกจากนี้ ศูนย์พัฒนาเครือข่ายเด็กและชุมชนยังได้ยกตัวอย่างชุมชน 2 แห่ง ที่ทั้งคนและชุมชนยังไม่ได้รับการรับรองจากรัฐไทย (Recognized by Thai State)

บ้านท่าเรือ ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 8 ตำบลสบเมย อำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นหมู่บ้านสาขาของบ้านห้วยไชยยงค์ บ้านท่าเรือเป็นชุมชนเล็กๆ ตั้งอยู่ริมน้ำเงา สมาชิกชุมชนส่วนใหญ่เป็นคนที่อพยพมาจากรัฐพม่า โดยมารับจ้างทำงานในเหมืองแร่ และยังคงอาศัยอยู่ที่บ้านท่าเรือแม้ว่าเหมืองจะปิดตัวไปแล้ว จนถึงปัจจุบันชุมชนแห่งนี้มีอายุประมาณ 30 ปี มีสมาชิกชุมชนจำนวน 96 คน (21 หลังคาเรือน) มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีถือบัตรประจำตัวบุคคลบนพื้นที่สูง (บัตรสีฟ้า) นอกนั้นไม่มีใครมีเอกสารพิสูจน์ตน ใดๆ เลย จนกระทั่งปี 2542 กรมการปกครองได้ดำเนินการสำรวจเพื่อจัดทำทะเบียนประวัติและบัตรสำรวจชุมชนบนพื้นที่สูง (บัตรสีเขียวขอบแดง) ทำให้สมาชิกชุมชนจำนวน 54 คน ได้รับบัตรสีเขียวขอบแดง อย่างไรก็ดี ในการสำรวจครั้งนั้น มีคนตกสำรวจ 16 คน และมีคนที่เกิดหลังปี 2542 อีก 5 คน

บ้านแม่ดึ๊ เป็นชุมชนกระเหรี่ยง ตั้งอยู่ริมขอบแม่น้ำสาละวิน เป็นหย่อมบ้านของบ้านแม่ก๋อน หมู่ 5 ตำบลแม่คง อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน เดิมสมาชิกชุมชนแห่งนี้มีวิถีชีวิตอพยพเลื่อนไหลไปมาระหว่างสองฝั่งแม่น้ำสาละวิน โดยมีเครือญาติอยู่ทั้งในฝั่งไทยและพม่า แต่การกวาดล้างชนกลุ่มน้อยของรัฐบาลพม่าที่รุนแรงอย่างต่อเนื่อง ทำให้คนกลุ่มหนึ่งเริ่มลงหลักปักฐานที่บ้านแม่ดึ๊อย่างถาวร จนถึงปัจจุบัน ชุมชนบ้านแม่ดึ๊มีอายุประมาณ 17 ปี มีสมาชิกชุมชนจำนวน 86 คน (19 ครัวเรือน) แน่นอนว่า-ไม่มีใครได้รับสัญชาติไทย และเมื่อมีการสำรวจบัตรสีเขียวขอบแดงในปี 2542 ชุมชนบ้านแม่ดึ๊ก็ตกสำรวจทั้งชุมชน

“คำว่าสัญชาติเริ่มทำให้หนูรู้ดีว่าเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต เมื่อหนูต้องสมัครขอทุนการศึกษาในโรงเรียน แต่เขาไม่รับ เพราะว่าหนูไม่มีทะเบียนบ้าน หนูไม่ใช่คนไทย แต่หนูเกิดในประเทศไทย หนูไม่มีหลักฐานตามที่รัฐเขากำหนด ทำให้หนูรู้สึกว่า ทำไมเราก็เป็นคนเหมือนกัน แต่เหมือนกับว่าคนไร้สัญชาติเป็นคนอีกกลุ่มหนึ่ง” ใหม่ (ไม่มีนามสกุล) บ้านท่าเรือ

“ช่วงที่เรียนผมได้เข้าร่วมแข่งฟุตบอล เป็นกีฬาระดับอำเภอเป็นรอบชิงชนะเลิศ พอกรรมการมาตรวจเช็คชื่อ เพราะระเบียบการแข่งขันเขาต้องมีใบทะเบียนบ้าน มีใบเกิด เพื่อดูอายุของนักเรียน คนอื่นเขามีกันหมด แต่ผมไม่มี กรรมการจึงตัดสิทธิ์ให้ทีมผมแพ้ และให้ออกจากการแข่งขัน เพื่อนๆ ในทีมและครู ต่อว่าผม ไปทางไหนก็มีแต่คนเกลียดผม ไม่ชอบผม เหตุการณ์วันนั้นผมรู้สึกว่า สัญชาติมันสำคัญกับผมมาก” เจมส์ (ไม่มีนามสกุล) บ้านท่าเรือ
 

3. ‘ชุมชน’ และ ‘ผู้เสียหาย’ ที่ไร้ตัวตน ที่สาละวิน

“บุคคลซึ่งรวมกันเป็นชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมย่อมมีสิทธิอนุรักษ์หรือฟื้นฟูจารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะหรือวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่นและของชาติ และมีส่วนร่วมในการจัดการ การบำรุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ” มาตรา 46 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540

“สิทธิของบุคคลที่จะมีส่วนร่วมกับรัฐและชุมชนในการบำรุงรักษา และการได้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ และในการคุ้มครอง ส่งเสริม และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ดำรงชีพอยู่ได้อย่างปกติและต่อเนื่อง ในสิ่งแวดล้อมที่จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัย สวัสดิภาพ หรือคุณภาพชีวิตของตน ย่อมได้รับความคุ้มครอง ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ

การดำเนินโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม จะกระทำมิได้ เว้นแต่จะได้ศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม รวมทั้งได้ให้องค์การอิสระซึ่งประกอบด้วยผู้แทนองค์การเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมและผู้แทนสถาบันอุดมศึกษาที่จัดการการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม ให้ความเห็นประกอบก่อนมีการดำเนินการดังกล่าวทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ

สิทธิของบุคคลที่จะฟ้องหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจราชการส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรอื่นของรัฐ เพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ย่อมได้รับความคุ้มครอง” มาตรา 56 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540

จากข้อกฎหมายข้างต้น ในเบื้องต้นของการรับรู้ก็คือ ฟากแม่น้ำสาละวินฝั่งรัฐไทย กฎหมายภายในของรัฐไทยได้รับรองและคุ้มครองสิทธิในการมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาและจัดการทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนดั้งเดิมหรือสิทธิชุมชน อย่างไรก็ดี มีข้อสังเกตออยูว่า จริงหรือ-ที่ทุกชีวิตแห่งสาละวินจะสามารถอ้างสิทธินี้เพื่อปกป้องชุมชนและสิ่งแวดล้อมของตนเองได้? ...ไม่ว่าจะเป็นประเด็นของการใช้สิทธิตามกฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิในวิถีชีวิตหรือชุมชนกะเหรี่ยงปกากะญอในประเด็นไร่ข้าวหมุนเวียน หรือกรณีการใช้สิทธิตามกฎหมายเพื่อปกป้องชุมชนให้พ้นจากโครงการขนาดใหญ่ ...ยกตัวอย่างบ้านท่าเรือและบ้านแม่ดึ๊ 2 ชุมชนที่ได้รับผลกระทบอย่างแน่นอนหากมีการดำเนินโครงการก่อสร้างเขื่อน

เพราะในบริบทของกฎหมายสาขามหาชน ข้อถกเถียงในประเด็นที่ว่า (มาตรา 46 และ 56 ซึ่งเป็น 2 มาตราใน 39 มาตราแห่ง) หมวด 3 ที่ว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย นั้น “บุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทยจะอ้างสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญได้เพียงใด?” ยังไม่มีข้อยุติ

และแม้ว่านักกฎหมายมหาชนที่ก้าวหน้าจะเสนอชุดข้อถกเถียงที่ว่า สิทธิที่มีลักษณะเป็น ‘สิทธิมนุษยชน’ (อาทิ สิทธิในชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สิน สิทธิในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ฯลฯ) คนไม่มีสัญชาติไทยชอบสามารถยกขึ้นกล่าวอ้างได้ แต่หากว่าเป็นกรณี ‘สิทธิของพลเมือง’ แล้ว บุคคลที่จะยกกล่าวอ้างได้จะต้องเป็นพลเมืองของรัฐนั้น ๆ เท่านั้น ถึงกระนั้น สิทธิชุมชนและสิทธิบุคคลในการมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ตามมาตรา 46 และ 56 ก็ยังต้องถกเถียงกันต่อไปว่า เป็น ‘สิทธิมนุษยชน’ หรือ ‘สิทธิพลเมือง’

ประเด็นนี้มีความสำคัญในตัวของมันเอง เพราะอาจมีผลให้หลายชีวิตที่สาละวินอาจไม่สามารถเป็น ‘ผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อนเสียหาย’ ผลก็คือ อาจไม่สามารถใช้สิทธิในการคุ้มครองชุมชนและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการเรียกร้องให้เยียวยาความเสียหาย โดยผ่านกลไกของศาลปกครอง หรือกล่าวให้สั้น รวบรัด แต่อาจทำให้ใครหลายคนรู้สึกไม่สบายใจ ก็คือ การมีสิทธิมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การปกป้องชุมชนและสิ่งแวดล้อมนั้น ‘อาจ’ ต้อง ใช้ สัญชาติไทย?


 

หมายเลขบันทึก: 23891เขียนเมื่อ 14 เมษายน 2006 00:40 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 มีนาคม 2012 18:42 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ขอบคุณครับ    อ่านแล้วได้ความรู้มากครับ   เล่าต่ออีกนะครับ   ยกมาทีละกรณียิ่งดี   เรื่องแบบนี้ต้องเล่ากรณีตัวอย่าง    เล่าเรื่องสดๆ กันเลยครับ

วิจารณ์ พานิช

ขอบคุณครับอาจารย์ ตอนนี้หลายคนก็ช่วยกันรวมข้อมูลรายกรณีอยู่นะครับ มีความคืบหน้าจะรีบนำมาเผยแพร่นะครับ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท