“ เบื่อโรงเรียน ที่บังคับให้ครูเขียนแผนการสอนส่ง แต่ไม่ได้ดูแลให้สอนจริง” ผมฟังแล้วสะดุ้ง เลยถามให้หายกังขา เจ้าหล่อนก็เลยสาธยาย (ใส่ไฟ) ให้สะใจ เพราะถือว่าเธอได้หลุดพ้นจากระบบราชการแล้ว
“ แล้วครูคนอื่น ๆ ทำไมเขาทำได้ เห็นครูที่โรงเรียนได้อาจารย์ 3 ไปตั้งหลายคนไม่ใช่หรือ”
เท่านั้นเอง เธอก็โพล่งออกมาอย่างไม่เกรงใคร
“ ครูเรานะเหรอ บอกให้ทำอะไรทำได้ทั้งนั้น แต่ไม่ได้ทำด้วยใจหรอกนะ บอกให้เขียน ก็เขียนลอก ๆ แผนของคนโน้นคนนี้ลงในแบบฟอร์มส่งเพื่อเอาตัวรอดไปวัน ๆ พวกเราจึงล้อกันว่า “แผนการส่ง” ไม่ใช่ “แผนการสอน” คนที่ทำอาจารย์ 3 บางคนนั่นแหละตัวดี พยายามหลบเลี่ยงงาน/กิจกรรมพิเศษของโรงเรียน มุ่งแต่ทำแผนการสอน ทำสื่อเพื่อส่งพยายามเขียนให้ดูดีตามเกณฑ์ที่ ก.ค.กำหนด แล้วก็ไม่ได้สอนจริงตามนั้นหรอก เพราะเวลากรรมการประเมินเขาประเมินตามเอกสาร เลยทำให้คนตั้งใจสอน ช่วยเหลือกิจกรรมโรงเรียนจนไม่มีเวลาทำหลักฐานเอกสารกองโตส่ง เกิดเจตคติไม่ดีต่อการทำผลงานวิชาการ แต่คนได้อาจารย์ 3 หลายคน ที่ตั้งใจทำงานจริงก็มีเหมือนกัน” (ดีนะที่ไม่ด่ากราด)
“ที่โรงเรียนไม่มีระบบกำกับติดตาม หรือประชุมปรึกษาหารือ เพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้หรอกหรือ ทำไมปล่อยให้คาราคาซังมาเนิ่นนาน” ผมยังรุกไล่เธออีก
4. การเขียนกิจกรรมการเรียนการสอนให้ศึกษาจากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 หมวดที่ 4 เรื่องแนวการจัดการศึกษาทุกมาตรา ที่มุ่งเน้นนักเรียนเป็นสำคัญ ถ้าได้นำความคิดเห็นความต้องการของนักเรียนมาประกอบเป็นแนวทางในการเขียนด้วยก็จะดียิ่งขึ้น ซึ่งต้องสร้างความคิดรวบยอดในเรื่องนี้ให้ตรงกัน ส่วนรายละเอียดต่างๆ ให้ครูได้ใช้ประสบการณ์ ความชำนาญการหรือความเชี่ยวชาญของตนที่สั่งสมมากำหนดกิจกรรมการเรียนการสอนได้อย่างเต็มที่
5. ในท้ายของแต่ละแผนการสอนให้มีที่ว่างอย่างน้อยครึ่งหน้ากระดาษสำหรับให้ครูเขียนผลการสอน ปัญหาและข้อเสนอแนะทุกครั้ง หลังจากที่สอนตามแผนการสอนนั้นทุกห้องแล้ว โดยเขียนให้ชัดเจน ระบุเป็นประเด็นที่จะเป็นแนวทางในการนำไปใช้ปรับแผนการสอนในโอกาสต่อไป เช่น
1. จัดทำแผ่นใสประกอบคำอธิบาย (เผอิญโรงเรียนมีเครื่องฉายอยู่)
2. จัดนักเรียนเก่งช่วยสอนเป็นกลุ่ม ๆ
3. กระตุ้นให้นักเรียนอาสาออกมาแก้ปัญหาโจทย์เลขหน้าชั้น
4. ให้นักเรียนทำแบบฝึกหัดเสริมความรู้ ฯลฯ
6. เมื่อสิ้นภาคเรียนหรือสิ้นปีการศึกษา ให้ครูนำปัญหาที่พบ และข้อเสนอที่บันทึกไว้ท้ายแผนการสอนแต่ละแผนมาเป็นข้อมูลในการปรับปรุงพัฒนาแผนการสอนเพื่อนำไปใช้สอนในปี/ภาคเรียนต่อไป โรงเรียนอาจจัดให้มีการประชุมปฏิบัติการพัฒนาแผนการสอนของครู โดยให้ครูที่สอนแต่ละรายวิชาทำประมาณการงบประมาณค่าใช้จ่าย และสื่ออุปกรณ์ที่ต้องการใช้จากข้อเสนอแนะที่เขียนไว้ท้ายแผนการสอนทุกแผน ก็จะสามารถนำมาเป็นข้อมูลในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณสนับสนุนให้ครูอาจารย์ปรับแผนการสอนได้ตามความต้องการจำเป็น เช่น แผนการสอนที่ 1 รายวิชา ค 011 ที่ครูอาจารย์เขียนข้อเสนอแนะเพื่อปรับแผนการสอนข้างต้น แสดงว่า ครูอาจารย์ได้คำนึงถึงความพร้อมของโรงเรียนนี้ว่า มีเครื่องฉายภาพโปร่งใสเพียงพอจึงเสนอแนะเช่นนี้ ถ้าโรงเรียนไม่มีความพร้อมเรื่องนี้อาจพิจารณาใช้สื่ออื่นที่จะสามารถแก้ปัญหาจากการที่นักเรียนฟังครูอธิบายไม่ค่อยเข้าใจได้ ข้อเสนอแนะข้ออื่น ๆ ก็เช่นกัน แสดงว่า เป็นข้อเสนอแนะที่ครูคนนี้เห็นว่าอยู่ในศักยภาพที่พอทำได้และเกิดผลดีต่อการสอนในจุดประสงค์นี้
7. เมื่อเปิดภาคเรียนใหม่ครูอาจารย์ก็นำแผนการสอนที่ปรับปรุงใหม่ไปใช้สอนจริง และบันทึกปัญหาและข้อเสนอแนะ เช่นเดียวกับปีแรก และปรับปรุงพัฒนาในปีต่อไปอีก ทำเช่นนี้ติดต่อกันสัก 3 ปี เชื่อว่าในปีที่ 3 จะได้แผนการสอนที่สมบูรณ์ พร้อมสื่อการสอน และครูอาจารย์สามารถจัดทำเอกสารรายงานผลการพัฒนาการเรียนการสอนที่รายงานจากปัญหาที่พบและข้อเสนอแนะพร้อมข้อมูลการพัฒนาการเรียนการสอนแต่ละปีที่ทำอย่างต่อเนื่อง อันเกิดจากชีวิตจริงในการจัดการเรียนการสอนที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง ถ้าเอาหลักวิจัยเข้ามาจับ ก็คือ วิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) นั่นเอง ซึ่งเป็นผลงานสู่การประเมินสมรรถนะได้เป็นอย่างดี เพราะผู้ประเมินเขาคงไม่อยากเห็นเพียงเอกสารแผนการสอนหรือสื่อการสอนเล่มหนา ๆ เล่มเดียว แต่คงอยากเห็นแผนการสอนและสื่อการสอนที่มีการใช้จริงและผ่านการปรับปรุงพัฒนาที่แสดงความก้าวหน้ามาโดยลำดับ มากกว่า ซึ่งเป็นการยืนยันว่าได้ “เขียนในสิ่งที่ทำ ทำในสิ่งที่เขียน และมีหลักฐานปรากฎว่าได้ทำ จริง"
8. ส่งเสริมให้ครูได้ศึกษาค้นคว้าหาความรู้จากแหล่งความรู้ต่าง ๆ ให้มากโดยเฉพาะหนังสือทุกเล่มในห้องสมุดที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาที่สอนควรมีร่องร่อยการอ่าน การหยิบยืม เพราะแผนการสอน หรือข้อเสนอแนะในท้ายแผนการสอนแต่ละภาคเรียนจะไม่ได้รับการพัฒนาที่สร้างสรรค์ ถ้าครูไม่ได้พัฒนาตนเองให้มีความรู้อย่างกว้างขวางลึกซึ้งในสาขาวิชาที่สอน ก็จะเป็นเหมือน “ม้าลำปาง” ที่ถูกปิดตาให้คับแคบ มองไม่เห็นปัญหา มองไม่เห็นแนวทางพัฒนา ก็จะวนเวียนอยู่แต่วิธีการเก่าที่ใช้มาเนิ่นนาน
9. โรงเรียนควรสร้างความเข้าใจและสร้างความเห็นพ้องต้องกัน (Consensus) ในการกำหนดระบบการกำกับติดตามการสอนตามแผนการสอนเพื่อให้เกิดการปฏิบัติจริง ซึ่งอาจมีหลายวิธี เช่น
ให้มีหัวข้อความคิดเห็นของผู้บริหารต่อจากหัวข้อบันทึกหลังสอน ซึ่งผู้บริหารหรือรองผู้บริหารฝ่ายวิชาการ ควรได้ดูแผนการสอนและบันทึกหลังสอนที่ครูแต่ละคนเขียนหลังสอน แล้วให้ความเห็นหรือมีข้อเสนอแนะหรือชื่นชมตามความเป็นจริงมากกว่าการลงนามเพียงอย่างเดียว
ผู้บริหารสถานศึกษา หรือรองผู้บริหารฝ่ายวิชาการควรมีการเยี่ยมการสอนตามสภาพจริง โดยมีสมุดส่วนตัวสำหรับบันทึกข้อมูลการสอนตามแผนการสอนจริงของครูด้วย ไม่ใช่เพียงเดินดูเฉย ๆ วิธีการเยี่ยมนั้นจะไม่ทำเพื่อจับผิด แต่จะทำเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการปรับปรุงพัฒนาและประเมินผลการปฏิบัติงานของครูเป็นสำคัญ
กำหนดให้มีวาระหนึ่งในการประชุมครูทุกครั้งสำหรับการติดตามและรายงานการสอนของแต่ละกลุ่มสาระ
จัดให้แต่ละกลุ่มสาระมีการนิเทศภายใน หรืออาจใช้เทคนิคการจัดการความรู้(KM)นำไปสู่การพัฒนาการเรียนการสอน และการสอนตามแผนการสอน โดยอาจจัดตารางสอนให้ครูมีชั่วโมงสอนว่างตรงกันทุกสัปดาห์
ฯลฯ
------------------------------------------
ธเนศ ขำเกิด [email protected]
เห็นท่าจะเป็นจริงของเรื่อง อาจารย์ 3
บางคนได้แล้วไม่พัฒนาตนเองทำให้รัฐบาล
เสียเงินโดยใช่เหตุ
อ่านแล้ว มีความคดเห็นเหมือนกัน รัฐไม่ทำอะไรจริงๆจังกับครูและนักเรียน ตรวจสอบทำไมกับเอกสารเป็นเล่มๆหนาๆ ต้องการได้ทรัพยากรที่ดีจริง ต้องออกประเมินตามสภาพจริง เห็นว่าสอนจริง นักเรียนได้จริง ปลูกฝังจริงมิใช่แค่ผักชีโรยหน้าที่คนเป็นใหญ่เป็นโตชอบกันนักหนา ประเทศชาติ กำลังจะล้าหลังประเทศอื่นๆแล้ว
กระทรวงศึกษา มีความจริงใจกับครูแค่ไหน บอกว่าจะหาคนมาทำหน้าที่งานธุรการ งานการเงิน งานวัดผล งานพยาบาล ฯลฯ แทนครู และให้ครูลุยสอนอย่างเดียว แต่ก็ยังเหมือนเดิม ครูยังหัวฟู เหงื่อย้อย ทำงานอย่างอื่นมากกว่าการตรวจการบ้านเด็ก มากกว่าการเตรียมการสอน ใครทำผลงานที่เขียนหนังสือเก่งๆ แต่ไม่สอน หรือมีพวกพ้อง ตัวเองไม่ต้องสอน เหล่านี้ ผ่าน
การประเมินเชิงประจักษ์ รัฐบอกจะรู้ผลภายในปีการศึกษานั้นเลย ประเมินแล้ว ฟันธง เกณฑ์การให้คะแนนจากการประเมินเชิงประจักษ์มีเปอร์เซนต์สูง แต่พอรวบรวมสรุปส่งผลงานเป็นเล่มไป กลายเป็นตก เล่มงานที่ส่งเขียนไม่ผาน แต่เวลาประเมินสภาพจริงคะแนนดี ผ่านจริงๆ คะแนนเกินเกณฑ์แล้ว แต่ผู้ทรงคุณวุฒิที่ไม่เคยได้คลุกคลีกับเด็กๆ ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าเด็กเล็ก เด็กมัธยมต้น ปลาย สภาพวุฒิภาวะมันต่างจาก เด็กมหาวิทยาลัย ประเภทสั่งอะไรก็ได้ ยอมอยู่แล้ว แต่เด็กเล็กๆ ของเราๆ เชิงประจักษ์ ต้องดู ต้องเฝ้า ต้องติดตาม มันผิดกันนะจ๊ะ ผู้ใหญ่ในกระทรวง สงสารครู ให้มีขวัญ มีกำลังใจหน่อยเถอะจะได้มีแรง มีสมองไปคิดค้น มีกำลังกาย กำลังใจไปช่วยฟูมฟักเด็กๆที่พ่อแม่ไม่มีเวลาอบรมสั่งสอนให้แต่เงิน ให้แต่วัตถุ จนเดี่ยวนี้สภาพสังคมเสื่อม
เด็กที่โรงเรียนไม่มีหนังสือเรียนเลยค่ะ ครูยอมรับว่าสอนยากมาก ครูต้องค้นจากอินเตอร์เน็ตเอาไปถ่ายเอกสารเอามาให้เด็กเรียน ยอมรับค่ะว่าเหนื่อยมากค่ะ แล้วประสิทธิภาพก็คงจะไม่มากเท่าไหร่ ผู้ปกครองก็จนมาก บางวันไม่มีเงินให้ลูกมาโรงเรียนด้วยซ้ำไป เด็กต้องมาขอเงินครูซื้อขนม ยากจนจริง ๆ ค่ะ ครูก็พยายามป้อนความรู้ให้เด็กนะคะ แต่เด็กก็มีความสามารถในการเรียนแค่ ม 3 ก็ดีมากแล้วสำหรับพวกเขา จบมาก็ทำงานช่วยพ่อแม่ของเขา แล้วจะเอาอะไรมาวัดให้ดีเท่ากับเด็กในเมืองที่เพียบพร้อมทุกอย่าง
ครูชายแดน
อยากให้ครูทุกคนได้จัดการเรียนรู้จริงตามแนวคิดทฤษฎีนี้จริง ๆ ไม่ใช่ทำแผนการสอนไว้เพื่อตรวจอนาคตคนไทยรุ่นใหม่จะได้เป็นคนที่มีคุณภาพ
เห็นด้วยอย่างแรงง เอกสารก่อผลงาน ผลงานก่อนิสัย