ข้อคิดว่าด้วยการสูญเสีย


เรามักเรียนรู้ที่จะเติบโตจากการมีประสบการณ์สูญเสีย

อลิซาเบธ คูบเบอร์ รอส เขียนให้ข้อคิดว่าด้วยการสูญเสียว่า เรามักเรียนรู้ที่จะเติบโตจากการมีประสบการณ์สูญเสีย เป็นสิ่งที่เมื่อเรามองผ่านความเศร้าเสียใจออกมาจาการสูญเสียสิ่งที่เรารักไม่ว่าจะเป็นบุคคล หรือ สิ่งของ เราจะค้นพบการเรียนรู้จักตัวเอง รู้จักการเรียนรู้ที่จะเปิดรับความรักจากแง่มุมใหม่ๆเสมอ สิ่งเหล่านี้เป็นงานและบทเรียนของสิ่งที่เรียกว่า"ชีวิต" มีพยาบาลอยู่คนหนึ่งที่ทำงานอยู่ในแผนกผู้ป่วยหนัก เธอรู้สึกทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วจากการที่ต้องพบเห็นกับการสูญเสียผู้ป่วยครั้งแล้วครั้งเล่าเมื่อเธอได้คุยกับดร.รอส พวกเขาได้พากันไปที่ยังอีกด้านหนึ่งของโรงพยาบาลซึ่งเป็นแผนกฝากครรภ์และห้องคลอด ที่นั้นเขาได้เห็นว่ามีเด็กเกิดใหม่อยู่เป็นประจำ ดร.รอสได้พูดกับพยาบาลคนนั้นว่า เมื่อไหร่ที่ไม่สามารถอดทนต่อการมองเห็นภาพผู้ป่วยที่กำลังจะเสียชีวิตของเธอต่อไปได้ ขอให้เธอได้นึกถึงภาพของเด็กเกิดใหม่ที่มีอยู่ทุกวัน งานของเธอที่ทำอยู่ในทุกวันนี้ก็คืองานที่ช่วยเหลือเด็กเกิดใหม่แต่ละคนในอดีตให้ได้บรรลุถึงบทเรียนแห่งชีวิตบทสุดท้ายของพวกเขา....

คำสำคัญ (Tags): #uncategorized
หมายเลขบันทึก: 23561เขียนเมื่อ 11 เมษายน 2006 14:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 21:53 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

บางครั้งความแตกต่างก็ทำให้เราได้พบอะไรใหม่ๆเหมือนกัน

มีบางอย่างที่คล้ายกันระหว่างผู้ป่วยเอชไอวีและผู้ป่วยโรคมะเร็งนั่นคือพวกเขาได้เห็นและสัมผัสกับความตายได้อย่างชัดเจนและหลายคนเผชิญต่อการวินิจฉัยนั้นในขณะที่ยังตั้งตัวไม่ทัน ปฏิกิริยาทางอารมณ์จิตใจของผู้ป่วยแต่ละคนเมื่อรับทราบผลก็แตกต่างกันและติดค้างอยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งนั้นก็ยาวนานแตกต่างกัน สิ่งหนึ่งที่มักพบก็คือ ความรู้สึกผิดและยึดติดอดีต จะแสดงผลออกมาค่อนข้างนานกว่าภาวะอารมณ์อื่นๆ  ประโยคที่มักแสดงปัญหาว่ายังมีความรู้สึกนี้ค้างใจอยู่ ก็เช่น..."ถ้าเพียงแต่ว่าฉันทำหรือไม่ทำสิ่งนั้นบางทีอาจไม่มีเรื่องนี้เกิดขื้น"หากเมื่อเรายังเชื่อและให้อภัยต่อคนอื่นๆได้ เราเองก็ควรที่จะเมตตาและอ่อนโยนกับตัวเองด้วยการให้อภัยตนเองได้มากขึ้น คำพูดนี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายหรือลบล้างความรู้สึกลบที่ค้างใจนี้ได้ในชั่วเวลาพริบตา การรักษาสติและเพียรรักษาใจที่จะเมตตาทั้งที่ต่อตนเองและผู้อื่น

มันเป็นเช่นนั้นเอง   สาธุ

มีเรื่องตัวอย่างอีกหนึ่งเรื่องที่อยากจะบันทึกไว้เพิ่มเติม นั่นคือเรื่องของคุณสถิตย์(นามสมมติ) เพิ่งไปได้พูดคุยกับเขามา เจ้าหน้าที่ตึกส่งต่อมาบอกว่าเขาเป็นคนเจ้าอารมณ์มาก จึงเข้าค้นหาสาเหตุและรู้จักบางส่วนในชีวิตของเขา คุณสถิตย์เป็นคนพิการอัมพาตช่วงล่างเกิดเพราะเขาถูกผนังตึกเก่าล้มทับขณะเข้าไปหาของเก่าเมื่อหกปีก่อน หลังเกิดอุบัติเหตแล้วภรรยาก็ทอดทิ้งเขา เมื่อเขาต้องเข้าโรงพยาบาลญาติไม่ค่อยมาเยี่ยมเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เขาน้อยใจและเสียกำลังใจ ท่าทีของพนักงานที่เขาคิดว่าเหมือนไม่ยอมรับไม่อยากดูแลเขาทำให้เขาเกิดการต่อต้านไม่อยากให้ใครมาเกี่ยวข้อง เราเข้าเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยประสาน จุดหนึ่งที่เราประทับใจ คือคุณสถิตย์เป็นนักสู้ชีวิตที่เข้มแข็งมาก แม้จะถูกบีบคั้นกดดันแต่เขาก็ไม่เคยคิดที่จะยอมแพ้หรือหนีโลก หากแต่พยายามพึ่งพาตัวเอง เราค้นหาจุดที่เขายังไม่พอใจในบริการของเราและพบว่าการขอโทษอย่างจริงใจและการยืนยันที่จะแก้ไขจุดผิดพลาดที่ได้เคยทำไป ช่วยให้คลายความมึนตึงและก้าวร้าวลงไป เรื่องของคุณสถิตย์เตือนให้เราระวังถึงการรักษาใจและความรู้สึกของคนว่าสำคัญมาก เราเคยทำดีกับเขามา100หนแต่พูดผิดหนเดียวความดีหายหมด และการไม่ถือทิษฐิ ทำให้ช่วยแก้ไขสภาพร้ายให้กลายเป็นดีได้

วันนี้อยู่ที่ต่างจังหวัดกับเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งและมีเรื่องเล่าที่อยากบันทึก เพื่อนคนหนึ่งพูดถึงความตั้งใจที่จะลดน้ำหนักและเธอมีเหตุน้ำหนักลดไปอยู่ช่วงหนึ่งเพราะเกิดอุบัติเหตทำของมีค่าอย่างหนึ่งในสำนักงานสูญหายไป ความทุกข์ใจนี้ยังคงมีอยู่แม้ขณะที่เรา ฉันฟังแล้วเกิดคำถามในใจว่า จะใช้เวลานานแค่ไหนกันกว่าใจที่หายไปของคนเรานั้นจะกลับมา สำหรับบางเรื่องหรือบางคนนั้นอาจหมายถึงตลอดระยะเวลาที่เหลืออยู่ในชีวิต(สั้นๆ)ของเขาก็ได้ เรื่องของการฟื้นคืนกำลังใจหรือResilenceเราอาจประหลาดใจเมื่อพบว่าเด็กๆกลับเป็นครูผู้สอนวิธีการคิดในเรื่องนี้ดีกว่าผู้ใหญ่ แม้ว่าเด็กอาจมีความรู้สึกเศร้าสูญเสียอยู่ภายในใจแต่แกก็จะพยายามมีความสุขและไม่ละทิ้งโอกาสที่จะมีความสุขหรือเลิกค้นหาคำถามที่ยังค้างใจอยู่ให้กระจ่าง ดังนั้นคุณจึงได้เห็นรอยยิ้มที่สดใสหลังคราบน้ำตาจากเด็กๆได้อยู่เสมอ 

ขอบคุณค่ะที่เล่าสิ่งดีๆให้ได้ฟังอยู่เสมอเสมอ การช่วยให้คนคลายทุกข์ก็เป็นหนึ่งในบุญกิริยา 10 นะคะ ขออนุโมทนา

กว่าจะถึงวันพรุ่งนี้

หากพรุ่งนี้เปรียบเหมือนความหวัง.....สำหรับฉันตอนนี้กำลังสงสัยว่า จะยังมีวันพรุ่งนี้อยู่อีกไหมฺ........วันนี้เป็นวันที่แย่ที่สุดเลวร้ายที่สุดสำหรับฉันแล้วใช่ไหม...หรือยังมีวันที่เลวร้ายยิ่งกว่านี้อีก....วันนี้หมอบอกว่าฉันกำลังจะตาบอด.....ใจรู้สึกเศร้าเสียเหลือเกิน.....ผิดไหมถ้าฉันอยากจะร้องไห้เพราะสงสารตัวเอง...ผิดไหมถ้าฉันคิดอยากรีบจบเรื่องก่อนสภาพอันน่าสมเพชของฉันจะปรากฏขึ้นให้ใครๆเขาสงสาร.....ฉันไม่อยากทำให้ครอบครัวต้องเดือดร้อน....แต่ฉันก็ยังติดใจอยู่กับคำถามส่วนหนึ่งของเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาที่ถามฉันว่า การที่ยังมีฉันอยู่ในขณะนี้ใครจะเป็นคนได้รับผลดีอยู่.....ใจฉันนึกถึงลูกและภรรยาที่รออยู่ที่บ้านแต่ฉันก็ยังรู้สึกเศร้าเสียใจจริงๆ...ความตายสำหรับฉันไม่ได้เป็นสิ่งที่น่ากลัวแต่การที่จะต้องอยู่อย่างไร้คุณค่าและเป็นภาระกับคนอื่นๆนี่ซิที่ฉันรับไม่ได้....เจ้าหน้าที่ยังถามฉันต่อว่าถ้าไม่อยากเป็นภาระอะไรที่คิดว่ายังทำได้...ฉันคิดว่าแม้ต่อไปคงไม่อาจขับรถได้แต่ฉันยังพอมีเวลาที่จะสอนการค้าให้ภรรยาได้ เล่านิทานให้ลูกได้ ฝึกการเดินไปมาด้วยตนเองภายในบ้านได้....แล้วคุณอยากจะทำไหม?เสียงถามนี้กระตุกใจฉันนัก สำหรับฉันแล้วไม่ได้คิดว่าตัวเองจะมีสิทธิ์คิดหรืออยากมีอยากเป็นอะไรได้อีกแล้ว....แต่ทำไมยังกลับมาให้ฉันเลือกหรือคิดอะไรให้วุ่นวายอีก....การเลือกที่จะตายไม่ยากเลยแต่การเลือกที่จะอยู่ยากยิ่งกว่าเจ้าหน้าที่บอกฉันว่าตอนนี้ฉันยังไม่ตายและตาก็ยังพอใช้ได้ลางๆฉันสนใจไหมที่จะลองสู้กับภาวะวิกฤตลูกนี้..ไม่ได้สู้เพื่อตัวเองเท่านั้นแต่ยังลูกและภรรยาของฉันที่ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะต่อสู้กันตามลำพังได้...ฉันคิดว่าจะขอลองดู... เจ้าหน้าที่บอกให้ฉันทดลองอยู่ให้ถึงวันพรุ่งนี้....สำหรับฉันมันยากมากเลยที่จะผ่านวันนี้....มันช่างยาวนานเสียจริงๆแต่ถ้าฉันทนได้พรุ่งนี้และวันถัดไปฉันก็น่าจะทำได้เช่นเดียวกัน ฉันเองก็ภาวนาให้ตัวเองอยู่จนได้มาพบกับหมอในสัปดาห็หน้านี้เช่นกัน

ขอบคุณที่วันนี้ได้เจอเขามาหาหมอแล้ว...สู้ต่อไปนะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท