วันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
มีโอกาสได้เดินทางไปขนอม เพื่อพบปะ “เพื่อนเก่า”
ที่ไม่ได้เจอกันมาตั้งหลายเดือน
เนื่องจากเขาเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศ
ปกติตอนที่อยู่เมืองไทยเราก็คุยกันอยู่เรื่อยๆ
หรือไม่เวลาที่ฉันเดินทางไปกรุงเทพฯ
ก็จะต้องได้เจอกันแทบทุกครั้ง
ฉันและจุ้ยเป็นเพื่อนเรียนด้วยกันมาตั้งแต่ประถมปลายจนกระทั่งถึงมัธยมต้น
ช่วงมัธยมปลายที่ฉันย้ายตัวเองมาเรียนที่หาดใหญ่
เวลากลับบ้านก็ยังได้เจอกันอยู่ทุกครั้ง
จนกระทั่งเราเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย
ฉันและจุ้ยก็ไม่เคยได้ติดต่อกันอีกเลย จนฉันเกือบลืมไปแล้ว ว่าฉันเคยมี
“เพื่อนสนิท” คนนี้อยู่
จนกระทั่ง
ฉันเข้าเรียนแพทย์ประจำบ้านซึ่งเป็นช่วงเวลาที่น้องหมาพันธุ์สปิตซ์ตัวสุดท้ายของครอบครัวตายลง
ฉันพยายามลำดับความทรงจำว่า ลูกๆ หลานๆ
น้องหมาสปิตซ์ที่เป็นผลผลิตจากบรรพบุรุษน้องหมาสปิตซ์ในครอบครัวของฉันไปอยู่ที่ไหนกันบ้าง
เพื่ออย่างน้อยฉันจะได้รู้ว่า ฉันสามารถจะ
“รำลึกอดีต”
เรื่องราวของเหล่าน้องหมาพันธุ์สปิตซ์ได้จากที่ไหน
ฉันจึงได้ย้อนคิดถึง “เพื่อนสนิท” คนนี้อีกครั้ง
เนื่องจากหนึ่งในบรรดาน้องหมาสปิตซ์ที่น่ารักที่สุดได้จากครอบครัวของฉันไปอยู่กับครอบครัวของจุ้ยตั้งแต่ที่เรายังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย
จุ้ยเป็นคนรักหมาไม่แตกต่างไปจากฉัน จุ้ยรับน้องหมาเพศผู้ตัวอ้วนกลม
(พอๆ กันกับคนรับเลี้ยง) ไปเลี้ยง
โดยได้รับความเห็นชอบจากแม่และสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวของฉัน
ทุกครั้งที่ต้องทำการ
“ยก” น้องหมาให้คนอื่นไปอุปการะ
แม่ของฉันจะทำการกลั่นกรองบุคคลที่จะมารับน้องหมาไปเลี้ยงว่า มี
“คุณสมบัติ”
เพียงพอที่จะรับน้องหมาไปดูแลหรือไม่
ราวกับว่าจะยกลูกสาวให้ไปแต่งงานกับชายหนุ่มที่ไหน
น้องหมาตัวไหนที่แม่ยกให้ใครไปแล้ว
และแม่มารู้ทีหลังว่าได้รับการดูแลที่ไม่ดีพอ
แม่ก็จะขอให้นำมาคืนที่บ้าน
หรือถ้าคนไหนที่รับน้องหมาไปเลี้ยงแล้วเลี้ยงดูไม่ไหว
แม่ก็ขอว่าอย่าได้ยกต่อให้ใคร ให้นำกลับมาคืนให้แม่ก็ได้
แต่เท่าที่ผ่านๆ มา น้องหมาทุกตัว “ไปดี” กันทุกตัวค่ะ
ก็แม่เล่นสกรีนซะขนาดนั้น
จุ้ยตั้งชื่อให้น้องหมาตัวนี้ว่า “หมูอ้วน” ตามรูปร่างอันอ้วนกลม พุงลากพื้น
หมูอ้วนอาศัยอยู่กับจุ้ยที่สุราษฎร์ฯได้ไม่นาน
ครอบครัวของจุ้ยก็ย้ายไปอยู่ที่กรุงเทพฯ
ฉันอดหวั่นใจแทนหมูอ้วนไม่ได้ว่า หมูอ้วนจะถูก “ทอดทิ้ง” ให้อยู่กับ “นายใหม่” ซึ่งเป็น “คนแปลกหน้า” สำหรับหมูอ้วนหรือเปล่า
แต่ความกังวลของฉันก็หมดไป เมื่อรู้ว่า
จุ้ยตัดสินใจหอบหิ้วเอาหมูอ้วนย้ายตามไปอยู่ที่กรุงเทพฯ ด้วย
และแล้วความทรงจำของฉันกับจุ้ยและหมูอ้วนก็หยุด (ชั่วคราว)
ตรงนั้นเอง
ฉันเริ่มลงมือค้นหาตัวจุ้ย หลังจากที่ไม่เจอกันมานานเกือบสิบปี
โดยการสืบค้นจากมหาวิทยาลัย ที่ฉันรู้ว่าจุ้ยเรียนและทำงานอยู่
ฉันพบรายชื่อของจุ้ยว่าเป็นนักศึกษาในที่ปรึกษาของอาจารย์ท่านหนึ่ง
แต่ฉันไม่มีช่องทางที่จะติดต่อจุ้ยได้โดยตรง
ฉันจึงตัดสินใจส่งจดหมายอิเลกทรอนิคส์ไปหาอาจารย์ท่านนั้น
เพื่อสอบถามว่าฉันสามารถติดต่อจุ้ยได้ด้วยวิธีใด
ซึ่งอาจารย์ท่านนั้นก็กรุณาส่งอีเมลล์ของจุ้ยมาให้ฉัน ทำให้เกิดเป็น
“จุดเริ่มต้น”
ในความเป็นเพื่อนของฉันกับจุ้ยขึ้นใหม่อีกครั้ง
ต้องขอขอบคุณอาจารย์ท่านนั้นจริงๆ
ฉันได้รู้จากจุ้ยว่า
หมูอ้วนยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็อายุมากพอดูแล้ว
หมูอ้วนได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี
และเป็นน้องหมาที่น่ารักของทุกคนในบ้านของจุ้ย
หมูอ้วนถูกผ่าตัดหลายครั้งเนื่องจากมีปัญหาที่ตาซึ่งคนที่เป็นธุระดูแลพาหมูอ้วนไปรักษาก็จุ้ยนั่นแหละค่ะ
แค่นั้นก็ทำให้ฉันรู้ได้ถึง ความรักที่จุ้ยมีให้กับหมูอ้วน
วันที่ฉันเดินทางไปเยี่ยมหมูอ้วนที่บ้าน เป็นวันที่ฉันตื่นเต้นมาก
ฉันโทรศัพท์ไปบอกแม่ว่าฉันได้เจอหมูอ้วนแล้ว
แม่ดีใจมากและบ่นอยากเห็นหน้าหมูอ้วน เพราะฉันเล่าให้แม่ฟังว่า
หมูอ้วนหน้าตาคล้าย “บอมบ์”
พ่อของมันมากและมีนิสัยคล้ายกันด้วย คือใจดี เป็นมิตร
และไม่รังแกน้องหมาตัวอื่น (แต่มีน้องหมาตัวอื่นๆ
ของจุ้ยมาอิจฉาหมูอ้วน)
ฉันได้เห็นอากัปกิริยาของหมูอ้วนเวลาที่อยู่กับจุ้ย ก็รู้เลยว่า
หมูอ้วนก็คงรักจุ้ยมากเช่นเดียวกับที่จุ้ยรักหมูอ้วน
หลังจากนั้นเป็นต้นมา
บทสนทนาทุกครั้งของฉันกับจุ้ยก็จะต้องมีการถามไถ่ถึงหมูอ้วนทุกครั้งเสมอ
หมูอ้วนจัดได้ว่าเป็นน้องหมาที่อายุยืนตัวหนึ่ง
อายุรวมน่าจะอยู่ราวๆ 13-14
ปีเห็นจะได้ ช่วงที่หมูอ้วนเริ่มไม่สบาย และไม่ยอมกินข้าว
จุ้ยเริ่มส่งสัญญาณมาบอกฉันว่า
หมูอ้วนคงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน วันที่หมูอ้วนตาย
ฉันจำได้ว่าจุ้ยโทรศัพท์มาบอกฉันแต่เช้า วันนั้น ฉันรู้สึกใจหาย
เพราะว่า
หมูอ้วนซึ่งเป็นน้องหมาพันธุ์สปิตซ์ตัวสุดท้ายที่เหลืออยู่เพื่อเป็น
“ร่องรอย”
ให้ฉันตามค้นหาอดีตส่วนนั้นได้จากไปแล้ว แต่ไม่ว่าฉันจะเสียใจ
หรือใจหายแค่ไหน
ก็คงไม่เท่ากับความเสียใจที่จุ้ยและสมาชิกในครอบครัวของจุ้ยมีต่อหมูอ้วนเป็นแน่
หลังจากที่หมูอ้วนตายไป ฉันกับจุ้ยเราก็ยังคุยกันถึงเรื่องราวต่างๆ
รวมทั้งเรื่องน้องหมาตัวอื่นๆ เป็นปกติ จนฉันเข้าใจไปเองว่า
จุ้ยคง “ทำใจ”
ได้แล้ว
จนวันหนึ่งที่จุ้ยโทรศัพท์มาหาฉันขณะที่เขานั่งกินบะหมี่อยู่ที่ร้านริมถนนแถวบ้าน
แล้วบอกฉันว่า “ถ้าหมูอ้วนยังอยู่
เราคงได้ซื้อกระดูกไปฝากหมูอ้วนแล้ว
เพราะมากินบะหมี่ทีไรก็ต้องซื้อไปฝากหมูอ้วนประจำ” ฉันถึงได้รู้ว่า
จุ้ยยังคงคิดถึงหมูอ้วนอยู่เสมอ และร้านบะหมี่ก็คงเป็น “ร่องรอย”
อันหนึ่งที่ทำให้จุ้ยได้หวนคิดถึงหมูอ้วน
คราวนี้ที่เราเจอกันก็เหมือนกันค่ะ นอกจากที่จะคุยเรื่องราวต่างๆ
กันแล้ว
หัวข้อสนทนาที่สอดแทรกอยู่ตลอดก็คือเรื่องน้องหมาตัวโน้นบ้างตัวนี้บ้าง
รวมทั้งหมูอ้วนด้วย จุ้ยบอกกับฉันว่า
เขามีโครงการจะไปซื้อที่ดินเพิ่มเติมรอบๆ
บริเวณที่เขาเอาเจ้าหมูอ้วนไปฝังไว้
ฉันบอกจุ้ยว่า “ถ้าหมูอ้วนรู้
หมูอ้วนคงดีใจนะ ที่จุ้ยรักหมูอ้วนขนาดนี้”
ถึงแม้ฉันจะไม่มี หมูอ้วน น้องหมาสปิตซ์เป็น “ร่องรอย”
ให้ฉันจดจำเรื่องราวในอดีตอีกต่อไป แต่ฉันก็รู้ว่า
ฉันยังมี
“ร่องรอย”
ที่มีคุณค่า
(และตัวใหญ่กว่า) เหลืออยู่อีก นั่นก็คือ
เพื่อนสนิทของฉันคนนี้นี่เอง หมูอ้วนทำให้ฉันย้อนคิดถึงจุ้ย
จุ้ยทำให้ฉันย้อนคิดถึงเรื่องราวของหมูอ้วน
ร้านบะหมี่ทำให้จุ้ยย้อนคิดถึงหมูอ้วน
และฉันก็เชื่อว่าหมูอ้วนคงทำให้จุ้ยย้อนคิดถึงฉันที่เป็น
“เพื่อนสนิท”
และเป็นพี่ของหมูอ้วนบ้าง
ไม่มีความเห็น