การฝึกอบรม
ด้วยระบบมวลชนสัมพันธ์
การฝึกอบรมคืออะไร
การฝึกอบรม (Training) มีความหมายโดยสรุปว่าคือ “กระบวนการเพิ่มความถนัด (Aptitude) ทักษะ (Skills) และความสามารถเฉพาะตัว (Individual Capacity) เพื่อเพิ่มสมรรถนะ (Competency) ให้แก่บุคลากรในการปฏิบัติงานที่รับผิดชอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
โดยนัยของคำจำกัดความดังกล่าว การฝึกอบรมที่ส่งผลลัพธ์ให้คุ้มค่าแก่การลงทุน (ทั้งเงิน เวลา โอกาส และพลังงาน) จึงจำเป็นต้องเป็นการฝึกอบรมที่จะทำให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้รับความถนัด ทักษะและขีดความสามารถตรงกับสมรรถนะที่ต้องมีในการปฏิบัติงานที่ต้องรับผิดชอบอย่างจริงจัง
การฝึกอบรมที่ห่างไกลหรือไม่ตอบสนองต่อความต้องการในการเพิ่มสมรรถนะให้แก่ผู้เรียน จึงเป็นการฝึกอบรมที่ไม่ได้รับความสนใจจากผู้เรียนมากนัก
การฝึกอบรมด้วยระบบมวลชนสัมพันธ์ คือ อะไร ?
การฝึกอบรมด้วยระบบมวลชนสัมพันธ์ (Interactive Training) เป็นการฝึกอบรมเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Approach) ที่มุ่งปรับแต่งพฤติกรรมของผู้เข้ารับการฝึกอบรมด้วยกระบวนการกลุ่ม (Group Therapy) โดยใช้ผู้เรียนเป็นผู้ร่วมปฏิบัติเพื่อประกอบการเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กัน กับการปรับแต่งทัศนคติ (Attitude) ของผู้เรียน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรม
หรือ
เพียงคนเราเปลี่ยนความคิด
ก็จะสามารถเปลี่ยนชีวิตได้ทั้งชีวิต
เป็นที่ยอมรับกันในกระบวนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ว่า การเปลี่ยนแปลงทัศนคติ เป็นการสร้างความเปลี่ยนแปลงภายในของระบบจิตของมนุษย์ซึ่งจะมีผลต่อทั้งความเชื่อ (Belief) ความคิด (Thinking) และศรัทธา (Faith) ของมนุษย์อันจะส่งผลให้มนุษย์เกิดความสนใจและตั้งใจที่จะเรียนรู้ เพื่อตอบสนองต่อความเชื่อและความคิดใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้มนุษย์เกิดความสนใจและตั้งใจที่จะเรียนรู้ เพื่อตอบสนองต่อความเชื่อและความคิดใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้เกิดการเรียนรู้ใหม่ ที่จะไปปรับแต่งพฤติกรรมที่มีอยู่เดิมให้กลายเป็นพฤติกรรมใหม่ ๆ และหากผลลัพธ์ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้มนุษย์ตอบโจทย์ในใจของตัวเองได้ ความสนใจและตั้งใจในการเรียนรู้ก็จะเพิ่มมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมก็จะมีมากขึ้นตามไปด้วย เป็นผลให้กรอบจิต (Frame of Reference – FOR) เปลี่ยนแปลงไป เช่น
พนักงานหญิงคนหนึ่ง มีตำแหน่งเป็นผู้บริหารระดับต้น มีความเกลียดชังผู้ชาย และคิดอยู่เสมอว่าผู้ชายทุกคนเอาเปรียบผู้หญิงและมีนิสัยกะล่อนหลอกลวง ไว้ใจไม่ได้ จึงไม่กล้าสนิทสนมกับพนักงานชายคนใดเลย ยิ่งถ้าเห็นพนักงานหญิงคนใด ใกล้ชิดและมีความรักกับผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นพนักงานด้วยกันหรือเป็นบุคคลภายนอก ก็จะคิดว่าเป็นคนโง่และหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวเอง การทำงานจึงติดต่อประสานความร่วมมือได้ดีกับพนักงานหญิงด้วยกัน แต่จะมีปัญหากับพนักงานชายทุกคน จนบางครั้งแสดงอาการรังเกียจพนักงานชายบางคนออกมาอย่างเปิดเผย
นักบริหารที่ด้อยประสบการณ์หลายคนอาจคิดว่าเป็นนิสัยส่วนตัวไม่เกี่ยวกับงาน ตราบเท่าที่ผู้จัดการคนนั้น ทำงานได้และมีผลงานองค์การก็ไม่ควรจะไปใส่ใจอะไรมากนัก
แต่.....บรรยากาศในการทำงานล่ะ...หากพนักงานจะทำงานแบบต่างคนอยู่ต่างคนทำงานก็จะได้เพียงแต่ความคิดและฝีมือของพนักงานเท่านั้น ไม่มีโอกาสได้ “ใจ” ของพนักงานมาทุ่มเทให้กับงานได้อย่างเต็มที่ เพราะบรรยากาศที่เกื้อกูลต่อการร่วมมือกันสร้างสรรค์สิ่งที่ดี ๆ ให้แก่องค์การ จะสามารถดึงศักยภาพ (Potential)ที่มีอยู่อย่างมากมายในตัวพนักงานมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่องค์การได้อีกมากมายนัก
องค์การธุรกิจข้ามชาติแห่งใดที่ปรับตัวเข้ากับบรรยากาศสังคมได้ องค์การธุรกิจนั้นก็จะสามารถประสบความสำเร็จในการใช้ศักยภาพของพนักงานได้
ถ้าเช่นนั้น....ทำอย่างไรจึงจะปรับแต่งพฤติกรรมของพนักงานที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนให้สามารถเพิ่มบรรยากาศที่เกื้อกูลต่อความสำเร็จขององค์การได้
ถ้าจะใช้วิธีส่งเฉพาะพนักงานที่มีปัญหาพฤติกรรมเบี่ยงเบนไปเข้ารับการฝึกอบรม ก็จะยิ่งได้รับการต่อต้านจากพนักงานที่มีปัญหาดังกล่าวมากขึ้น
ถ้าจะให้นักจิตวิทยามาให้คำปรึกษาหารือแก่พนักงานที่มีปัญหา ก็จะยังทำให้พนักงานที่มีปัญหาเป็นเป้าสายตาของพนักงานอื่น ซึ่งจะยิ่งเกิดปัญหาความแตกแยกกันมากขึ้น
ทางเลือกของนักจิตวิทยาสังคมอย่าง ดร. เอ็ม เชอรีฟ (M. Sherif) และนักจิตวิทยาอุตสาหกรรมอย่าง ดร. แดเนียล โกลแมน (Daniel Goleman) ก็คือการฝึกอบรมด้วยกระบวนการปฏิสัมพันธ์เชิงพฤติกรรม (Behavioral Interaction Process) โดยการนำพนักงานในระดับเดียวกัน หรือต่างระดับกันไม่เกิน 2 ระดับไปดำเนินการฝึกอบรมร่วมกัน ให้ร่วมปฏิบัติไปด้วยกัน เรียนรู้ไปด้วยกัน และเติบโตไปด้วยกัน เพื่อสร้างกระบวนการประสานความคิด ประสานประโยชน์ ประสานใจ เพื่อให้เกิดจุดเปลี่ยนในระบบความคิดและทัศนคติของพนักงาน อันจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม และเรียกกระบวนการฝึกอบรมนี้ว่า Interactive Training (การฝึกอบรมด้วยระบบมวลชนสัมพันธ์)
ลักษณะเฉพาะของการฝึกอบรมด้วยระบบมวลชนสัมพันธ์
ขอให้เข้าใจให้ตรงกันก่อนว่า “มวลชน” หมายถึง กลุ่มคนต่างความคิด ต่างความเข้าใจ และต่างความรู้ ความสามารถกัน ที่มาจากชุมชนหรือสังคมที่แตกต่างกัน มารวมตัวอยู่ด้วยกันโดยมีเป้าหมายเดียวกัน
“มวลชน” จึงเป็นการรวมตัวกันอย่างหลวม ๆ ของกลุ่มคน ที่จำเป็นต้องอาศัยแกนนำและแนวร่วมเป็นที่เกาะยึด ตลอดจนต้องมี “อุดมการณ์” เป็นตัวกระตุ้นการขับเคลื่อนกิจกรรมของมวลชน
การปลูกฝังอุดมการณ์เช่น “ความเป็นหนึ่งเดียว” “การมุ่งมั่นสู่ชัยชนะ” “มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน” “เราจะไม่เป็นสองรองใครในแผ่นดิน” “เราจะสู้จนเลือดหยดสุดท้าย” หรือ “เราจะจับมือกันเดินก้าวไปมุ่งสู่จุดหมายอนาคตเรา” เป็นต้น หากได้มีการนำมาใช้อย่างถูกจังหวะเวลาในกิจกรรม ก็จะสามารถขับเคลื่อนกลุ่มคน หรือ “มวลชน” ที่รวมตัวกันอยู่ไปด้วยกัน
ปฏิสัมพันธ์ของสมาชิกทุกคนที่ถูกหล่อหลอมโดยแกนนำ (ซึ่งก็คือวิทยากรที่ผ่านการฝึกฝนซักซ้อมกันมาเป็นอย่างดี) ให้เกิดความรู้สึกเป็น “พวกเดียวกัน” โดยอาศัยแนวร่วม (ซึ่งก็คือผู้เข้ารับการฝึกอบรมที่มีความกระตือรือร้นและน่าเชื่อถือ) ด้วยวิธีการใช้กิจกรรมประกอบการฝึกอบรมที่จำลองสถานการณ์การทำงาน (Simulation) มาในรูปของกิจกรรมต่าง ๆ ที่บางคนอาจเรียกว่าเกมส์ (แต่ผู้เขียนเห็นว่าคำว่า “เกมส์” ในความเข้าใจของคนไทยหมายถึงการละเล่นกึ่งกีฬาที่มีการแพ้การชนะเกิดขึ้น ซึ่งแตกต่างไปจากคำว่า “กิจกรรม” อันหมายความถึงการร่วมกันปฏิบัติสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่สร้างสรรค์)
กิจกรรมดังกล่าวจึงจำเป็นต้องถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์ ในการสื่อสารโดยการร่วมกระทำของสมาชิกในกลุ่ม (หากมีจำนวนคนน้อย ๆ) และในมวลชน (หากมีจำนวนคนมาก ๆ) เพื่อทำให้เกิด
1. การชักจูงใจ (Persuasion) หมายถึงการที่กิจกรรมนั้นได้ใช้การสื่อสารเพื่อประโยชน์เฉพาะในการเปลี่ยนใจหรือปรับเปลี่ยนความเชื่อของบุคคลรวมตลอดไปถึงการเปลี่ยนพฤติกรรมของคนด้วยวิทยากร ซึ่งทำหน้าที่ในการชักจูงใจผู้เรียนต้องพยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้ข้อคิดหรือข้อโต้แย้งที่เสนอไปมีเหตุผลหรือมีตรรกะที่น่าเชื่อถือที่สุด แต่แฝงไว้ด้วยเป้าหมายในการชักจูงใจ
การชักจูงใจถือเป็นวิธีการใช้อิทธิพลต่อผู้เรียนแบบง่ายที่สุด ซึ่งเราจะเห็นการปฏิบัติอยู่ในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็นการที่พ่อแม่ชักจูงใจลูก หัวหน้าชักจูงใจลูกน้อง สื่อชักจูงใจผู้อ่าน ผู้ฟังและผุ้ชม นักการเมืองชักจูงใจประชาชน หรือครูชักจูงใจลูกศิษย์ ซึ่งหากกระทำด้วยความปรารถนาดี สุจริตใจ และจริงใจ ก็จะเห็นผลดีในระยะยาว
จากการวิจัยทางสังคมวิทยาพบว่า ความสำเร็จในการชักจูงใจ มักขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 2 ประการคือ คุณลักษณะของผู้ชักจูงใจกับเนื้อหาของข้อเสนอที่นำมาประกอบการชักจูงใจ หากผู้ชักจูงใจเป็นผู้มีบุคลิกดี มีรูปแบบการนำเสนอที่ดี มีความคล่องแคล่ว มีความรู้ ความเข้าใจจริงในสิ่งที่สื่อสารและมีประวัติน่าเชื่อถือ ก็จะทำให้การต่อต้านของผู้รับฟังลดลงได้อย่างมาก เมื่อนำมาบวกกับข้อเสนอที่เร้าอารมณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอารมณ์กลัวหรือกังวลด้วยแล้ว ก็จะสามารถตอบสนองความสนใจของผู้เรียนได้มากขึ้น การชักจูงใจก็จะประสบความสำเร็จมากขึ้น
2. การคล้อยตาม (Conformity) เกิดขึ้นในสถานการณ์ที่บุคคลเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองให้เข้ากับมาตรฐานหรือความเชื่อซึ่งเป็นที่ยอมรับกันภายในกลุ่ม หรือให้กับบรรทัดฐาน (Norms) ของกลุ่ม ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการคล้อยตามนั้นก็คือแรงกดดันจากกลุ่ม หรือพลังของมวลชน
สำหรับผู้เรียนในกลุ่มเดียวกัน อาจจะมีบางคนที่ไม่ยอมคล้อยตาม (Non-Conformance) ซึ่งจะพบเห็นได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นคนที่ต่อต้านการคล้อยตามหรือเป็นคนที่มีความเป็นตัวของตังเองมากเกินไป ซึ่งจะสังเกตได้จากพฤติกรรมที่ไม่ยุ่งกับใคร และไม่อยากให้ใครมายุ่งด้วย แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งที่คนไม่ยอมคล้อยตามพบว่าตัวเองก็ไม่ได้สูญเสียอะไรในการคล้อยตาม พฤติกรรมก็จะเปลี่ยนแปลงไปเอง
3. การยอมทำตาม (Compliance) เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นเนื่องจากการได้รับคำขอร้องจากผู้อื่นให้กระทำ ไม่ว่าจะเป็นการขอร้องของสมาชิกในกลุ่มหรือจากวิทยากร หรือจากผู้บังคับบัญชา ทั้งที่ใจจริงผู้เรียนผู้นั้นไม่อยากจะทำ แต่ปฏิเสธไม่ได้ จะด้วยความเกรงใจและรู้ตัวเองอยู่ตลอดเวลาหรือไม่ก็ตาม และหากเมื่อยอมทำตามแล้วได้รับการตอบกลับในทางที่ดี การยอมทำตามในเรื่องต่อ ๆ ไปก็จะเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น
4. การเชื่อฟัง (Obedience) เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากการที่บุคคลยอมทำตามคำสั่งของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าโดยทั่วไปผู้ที่ออกคำสั่งต้องเป็นผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า โดยทั่วไปผู้ที่ออกคำสั่งต้องเป็นผู้ที่อยู่ในตำแหน่งซึ่งควบคุมการกระทำของผู้ที่ได้รับคำสั่งได้ และผู้ออกคำสั่งต้องสามารถหาวิธีที่จะทำให้คำสั่งที่ว่านั้นบังเกิดผลในทางปฏิบัติให้ได้
แต่ในกระบวนการฝึกอบรมด้วยระบบมวลชนสัมพันธ์นั้น หากวิทยากรสามารถทำให้ผู้เรียนถูกชักจูงใจจนเกิดการคล้อยตามและยอมทำตามได้แล้ว ก็เป็นโอกาสที่วิทยากรจะสามารถแต่งเติมความรู้ ความเข้าใจ ภูมิปัญญา แง่คิดและความมุ่งมั่นตั้งใจที่สอดคล้องกับเป้าหมายของการฝึกอบรมได้เป็นอย่างดี
คำนิยามที่ใช้ในกระบวนการฝึกอบรมด้วยระบบมวลชนสัมพันธ์
“พฤติกรรม” หมายถึงการแสดงออกหรือการกระทำของอินทรีย์ (Organism) หรือสิ่งมีชีวิต การแสดงออกดังกล่าวรวมทั้งการแสดงออกที่เกิดขึ้นทั้งที่ผู้แสดงออกรู้สึกตัวและไม่รู้สึกตัวในขณะที่แสดงออกและยังหมายรวมถึงการแสดงออกที่สามารถสังเกตได้หรือสังเกตไม่ได้ก็ตาม
พฤติกรรมจึงแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ พฤติกรรมภายนอก (Overt Behavior) หมายถึงการแสดงออกที่ผู้อื่นสามารถสังเกตเห็นได้โดยตรงเช่น พูด หัวเราะ ร้องไห้ เดิน วิ่ง เป็นต้น กับพฤติกรรมภายใน (Covert Behavior) ซึ่งหมายถึงการแสดงออกที่ผู้อื่นสังเกตไม่ได้โดยตรง เช่น หิว เสียใจ น้อยใจ ลำบากใจ เป็นต้น ส่วนมากเป็นพฤติกรรมที่เกี่ยวกับกระบวนการทำงานภายในสมอง ถ้าต้องการจะสังเกตพฤติกรรมภายในก็จะต้องอาศัยการกระตุ้นหรือจัดสิ่งแวดล้อม ให้เจ้าของพฤติกรรมแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมภายนอก เช่นการใช้กิจกรรมต่าง ๆ การใช้สภาวะขีดจำกัดต่าง ๆ หรือการจูงใจต่าง ๆ ให้เกิดการแสดงออกมาให้สังเกตเห็นได้
“แรงจูงใจ” (Motivation) หมายถึง แรงกระตุ้นหรือแรงผลักดันให้เกิดพฤติกรรม เป็นแรงกระตุ้นที่มีการกำหนดทิศทางไว้ว่าจะแสดงพฤติกรรมออกออกไปอย่างไร แบบใด และเป็นแรงกระตุ้นให้บุคคลรักษาพฤติกรรมนั้นเอาไว้โดยทั่วไป แรงจูงใจได้แก่ ความต้องการ (Needs) ความปรารถนา (Desire) ความตั้งใจ (Willingness) หรือความมุ่งหวัง (Expectation) นั่นเอง
แรงจูงใจ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากในฐานะที่เป็นตัวต้นกำเนิดของพฤติกรรม แรงจูงใจแบ่งออกได้เป็น สองประเภท คือ แรงจูงใจภายใน (Intrinsic Motivation) หมายถึง แรงจูงใจที่เกิดขึ้นภายในตนเอง มีผลทำให้คนเราแสดงพฤติกรรมออกไปเพราะรัก หรือชอบที่จะทำอย่างนั้นโดยไม่ได้คำนึงถึงผลตอบแทนใด ๆ นอกจากความสุขใจที่ได้แสดงออกมาซึ่งจะทำให้คนทุ่มเทเวลา ความคิด พลังงานหรือทุนทรัพย์ส่วนตัวเพื่อจะได้มีโอกาสทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยแรงจูงใจภายในให้บรรลุผลให้ดีที่สุด กับแรงจูงใจภายนอก (Extrinsic Motivation) หมายถึงแรงจูงใจที่เกิดขึ้นเนื่องจากได้รับสิ่งจูงใจจากภายนอกตัวเรา ด้วยความมุ่งหมายที่จะให้เราแสดงพฤติกรรมอย่างหนึ่งอย่างใด เช่น คำชมเชย รางวัล คะแนนจูงใจ หรือเหรียญแสดงชัยชนะ เป็นต้น
“กลุ่ม” (Group) หมายถึง การรวมตัวของคนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปแล้วมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันอย่างสม่ำเสมอในช่วงเวลาหนึ่ง โดยมีบรรทัดฐานร่วมกันและมีเอกลักษณ์เดียวกัน คนเหล่านี้จะมีการรับรู้ในตัวเองว่า พวกเขาขึ้นต่อกันและกันในอันที่จะปฏิบัติการเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันของพวกเขาทุกคน
ไม่มีความเห็น