วันนี้อ่านนิตยสาร ดิ อีโคโนมิสต์ ที่เคยถูกรัฐบาลไทยวิจารณืในช่วงปีแรก เพราะเขาชอบวิจารณ์รัฐบาลไทยก่อน ล่าสุดเขาพูดถึงเมืองไทย แถมยังเอาภาพขึ้นหน้าปกด้วย
อ่านแล้วก็ให้สงสัยว่ารัฐบาลคงดีใจ และเลิกเป็นปฏิปักษ์กับนิตยสารฉบับนี้ เพราะเขาวิพากษ์การออกมาเคลื่อนไหวกดดันจนคุณทักษิณต้องเว้นวรรค ว่าเป็นการกระทำที่จะทำให้ประชาธิปไตยไทยถอยหลังอย่างน่ากลัว
สิ่งที่น่าสนใจคือเขามีบทนำอีกเรื่องพูดถึงนายก อิตาลีชื่อ เบลุสโคนี ที่คนติดตามการเมืองระหว่างประเทศคงเคยได้ยินว่ามีคนเปรียบทียบกับคุณทักษิณอยู่บ่อยๆ ความที่เป็นเศรษฐีเหมือนกัน และก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศเหมือนกัน โดยผู้คนฝากความหวังว่าจะนำความสามารถในการบริหารจัดการในภาคธุรกิจมาใช้เ็นประโยชน์ในการบริหารบ้างเมือง
แต่ก็มีผู้ระแวงสงสัยว่าจะมีผลประโยชน์ทับซ้อนเนื่องมาจากการเป็นเจ้าของกิจการมากมาย
บทนำที่ว่าด้วยการเมืองอิตาลีในนิตยสารฉบับเดียวกัน วิจารณ์เบลุสโคนีว่าเป็นผู้นำที่ไม่เหมาะสมจะเป็นผู้นำต่อไป เพราะเต็มไปด้วยความไม่ตรงไปตรงมา และนิตยสารฉบับนี้เชื่อว่า เขาไม่ควรจะได้รับเลือกตั้งกลับมาอีกในการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ในขณะที่วิพากษ์แถมชี้นำการเลือกตั้งในอิตาลี นิตยสาร อิโคโนมิสต์ พูดถึงการประท้วงไม่ลงเลือกตั้ง และการชุมนุมขับไล่ผู้นำในประเทศไทยว่าเป็นการกระทำที่ไม่มีความชอบธรรม และอาจทำให้ประเทศไทยอาจเสียโอกาสในการก้าวไปข้างหน้า โดยเฉพาะการดำเนินนโยบายให้ภาคเอกชนมามีบทบาทมากขึ้น ซึ่งเป็นนโยบายหลักที่นิตยสารฉบับนี้เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
ผู้สื่อข่าวเขาแสดงความเป็นห่วงว่าที่เมืองไทยจะเหมือนที่ฟิลิปปินส์ ที่ประชาชนชอบออกมาเดินขบวน ขับไล่ผู้นำ และยกตัวอย่างที่ประชาชนขับไล่จนเอสตราดาต้องออกจากตำแหน่ง แล้วตินนี้ก็กำลังขับไล่ ประธานาธิบดี กลอเรีย อาโรโย
เขาเปรียบเทียบประเทศสามประเทศนี้ได้อย่างน่าสนใจ ภายในบทความที่พูดถึงประเทศไทย และในเนื้อข่าวเกี่ยวกับเมืองไทย เขาตั้งความหวังว่า ฝ่ายต่างๆจะเคารพการเลือกตั้งมากกว่าที่จะมาเดินขบวนขับไล่โดยอ้างพลังประชาชน และบอกด้วยว่า ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาของประเทศไทยน่าจะได้รับการเคารพจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ผมเอามาเล่าให้ฟัง เพราะในขณะที่เราเรียกร้องเสรีภาพสื่อมวลชนเสมือนหนึ่งว่าเป็นของศักดิ์สิทธิที่พึงปกป้อง เราในฐานะคนรับข่าวสารก็ต้องรู้เท่าทันมุมมอง และความคิดของสื่อต่างๆด้วย
ผมไม่ได้กำลังบอกว่า ดิ อิโคโนมิสต์ ผิดหรือถูกที่วิพากษ์การเมืองไทยแบบนี้ หรือพูดถึงนายกอิตาลีในทางร้าย แถมยังชี้นำผลการเลือกตั้ง ล่วงหน้า้
แต่ที่ดูเหมือนจะชัดเจนก็คือ เขามองประชาธิปไตยคนละแบบกับที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และแนวร่่วมต่างๆมองเห็น
ในขณะที่ฝ่ายพันธมิตรฯเชื่อว่าการชุมนุมเรียกร้องรวมถึงการแสดงการขัดขืนผู้มีอำนาจที่ใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม เป็นความชอบธรรม
เขามองว่าการเลือกตั้งคือเครื่องมืออันศักดิ์สิทธิ์ที่ใครจะละเมิดไม่ได้ แม้จะเป็นการเลือกตั้งที่อาจจะไม่เป็นธรรม
ผมชอบอ่านนิตยสารฉบับนี้ เพราะเวลาอ่านข่าว หรือฟังคำพูด หรือข้อคิดใดๆในนิตยสารฉบับนี้ มันจะช่วยกระตุ้น และกระตุกให้เราคิด และบอกตัวเองว่านี่คือแนวคิดของนิตยสารที่ทรงอิทธิพลฉบับหนึ่งในโลกนี้ ที่พร้อมจะไม่เห็นด้วยกับทุกอย่างที่ขัดขวางกระบวนการโลกาภิวัฒน์ หรือที่จริงแล้วก็คือการทำธุรกิจข้ามชาติ
ใครที่หนังสือฉบับนี้เชียร์ น่าจะแปลได้ว่าเข้าขั้นนักส่งเสริมธุรกิจข้ามชาติที่น่าจะหาตัวจับยาก ยิ่งถ้าเป็นผู้นำจากประเทศที่กำลังพัฒนา ก็ยิ่งน่ายกย่องไปใหญ่
ส่วนคนในประเทศที่เกี่ยวข้องจะเดือดร้อนยังไง ไม่ต้องไปสนใจ เพราะเดี๋ยวมันก็ดีเอง
ส่วนจะเป็นอีกกี่ชาติ เป็นอีกเรื่องนึง
แต่ชาตินี้ ธุรกิจข้ามชาติ เจริญแน่
ผมคิดว่าเรื่องแบบนี้เป็นตัวอย่างสำคัญที่คนไทยเราควรจะมาร่วมกันทำความเข้าใจ และกำหนดว่าเราอยากให้ประเทศของเราเป็นยังไง
และที่สำคัญคือทำอย่างไรจึงจะมีส่วนร่วมในการกำนหดชะตากรรมของประเทศ ซึ่งก็หมายถึงชะตากรรมของตัวเราเองด้วย
เป็นชะตากรรมที่น่าจะต้องช่วยกันกำหนด ไม่ใช่ด้วยการไปใช้สิทธิืเลือกตั้ง 4 ปีครั้ง
แต่เป็นการใช้สิทธิเพื่อบอกว่าเราอยากมีนโยบายการพัฒนาประเทศยังไง
ซึ่งน่าจะหมายถึงการใช้สิทธิมากกว่าแค่ 4 ปีครั้ง และเป็นสิ่งที่รัฐบาลจะต้องสร้าง หรือเปิดโอกาสให้มีขึ้นอย่างกว้างขวางในสังคมไทย
จะได้ไมาเกิดการกล่าวหาว่าทำผิดกฏหมาย เพียงเพราะประชาชนต้องการแสดงความคิดเห็นที่พึงมีในเรื่องสำคัญๆ
ไม่งั้นเดี๋ยวการกล่าวหาผู้ชุมนุมที่ต้องการแสดงออกอย่างถูกต้องก็จะกลายเป็นเรื่องที่ทำง่ายๆ เหมือนที่สมัยหนึ่งเคยกล่าวหาคนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลว่าเป็นคอมมิวนิสต์
ไม่มีความเห็น