กองบรรณาธิการ รายงานปฏิรูปการศึกษาไทย
ด้วยความสับสนและลักลั่นในความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องการจัดการเรียนการสอนที่เรียกว่ายึดผู้เรียนเป็นสำคัญ จึงนำไปสู่ข้อผิดพลาดอันอาจจะก่อให้เกิดการทำลายคุณภาพของการศึกษา เช่น ครูบางคนปล่อยให้ผู้เรียนเรียนตามลำพัง กิจกรรมหนักไปทางการศึกษา ค้นคว้าจากหนังสือและสื่อต่าง ๆ ตามความสนใจ จนบางครั้งคล้ายกับไร้ทิศทาง ไร้มาตรฐาน
ดังนั้นเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและให้การจัดการเรียนการสอนเป็นไปในทิศทางเดียวกัน กองบรรณาธิการจึงขอนำบทความของ ดร.สงบ ลักษณะ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ที่ได้แยกประเด็นต่าง ๆ ออกมาได้อย่างน่าสนใจ พร้อมกันนี้ยังได้ฝากบอกมาว่า ครูจะต้องปรับเปลี่ยนความเชื่อ ความคิด และวิธีปฏิบัติบางประการ จากความคิดเดิมเป็นความคิดใหม่ เมื่อนั้นการจัดการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญจึงจะได้ผลสูงสุด
ความคิดเดิมมุ่งไปที่การดูว่าครูมีวิธีสอนที่ทำให้เด็กมีกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลายเน้นการคิดเอง ปฏิบัติเอง แต่ความคิดใหม่ความสำเร็จอยู่ที่ผลลัพธ์ของผู้เรียน คือผู้เรียนทุกคนมีผลการเรียนรู้ที่สมบูรณ์ครบถ้วนตามความมุ่งหมายของหลักสูตร แม้ผู้เรียนแต่ละคนจะมีความแตกต่างกัน แต่ครูมีฝีมือที่จะทำให้ผู้เรียนทุกคนบรรลุผลตามที่พึงปรารถนาได้
ความคิดเดิมเชื่อว่า ผู้เรียนมีความสามารถต่างกันจึงมีผลการเรียนไม่เท่ากัน แต่ความคิดใหม่ผู้เรียนทุกคนสามารถเรียนรู้ได้เท่ากัน ถ้าครูจัดวิธีการเรียนให้เหมาะกับความสามารถของเขา
ความคิดเดิม ผู้เรียนเรียนรู้จากการอ่าน การฟัง การฝึก และการจดจำ แต่ความคิดใหม่ ผู้เรียนเรียนรู้จากได้รับประสบการณ์จากแหล่งต่าง ๆ จากการค้นคว้า ทดลอง ปฏิบัติ สอบถามผู้รู้ วิเคราะห์ แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน
ความคิดเดิม ผลการเรียนคือความรู้ที่แสดงออกด้วยการจดจำความจริง กฎ เกณฑ์ต่าง ๆ ที่เป็นเนื้อหา แต่ความคิดใหม่คือความสมดุลของความรู้ ความคิด ความสามารถในการวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประยุกต์ใช้ การแก้ปัญหา การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เป็นต้น
ความคิดเดิม ครูมีกระบวนการสอนที่เป็นมาตรฐานตามตัวใช้กับผู้เรียนทุกคน แต่ความคิดใหม่ ครูรู้จักจุดเด่นจุดด้อยผู้เรียนรายบุคคล ใช้กระบวนการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นและหลากหลาย
ความคิดเดิม ปล่อยให้เด็กทำกิจกรรมเรียนรู้ตามลำพัง ครูเป็นผู้อำนวยความสะดวก แต่ความคิดใหม่ครูทำหน้าที่พี่เลี้ยง ให้คำแนะนำ ร่วมวางแผน ติดตามผลการทำกิจกรรม
ความคิดเดิม การวัดผลประเมินผลมีจุดอ่อนในการยึดเพียงเนื้อหาตามตำรา แต่ความคิดใหม่เน้นการติดตามผลการเรียนรู้ของเด็กเป็นรายบุคคลตลอดเวลา ใช้วิธีการวัดและการประเมินมีหลายอย่าง ทั้งการประเมินจากพฤติกรรม ผลงาน ข้อสอบ เป็นต้น
หัวใจสำคัญของความสำเร็จในการจัดการเรียนการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญอยู่ที่ความเป็นครูมืออาชีพที่มุ่งมั่น คิดค้น แสวงหาวิธีการต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ผู้เรียนทุกคนมีความสำเร็จในการเรียนรู้เต็มศักยภาพ ครบถ้วนตามมาตรฐาน โดยใช้พื้นฐานของความรักและความเมตตาที่ครูมีต่อผู้เรียนทุกคนอย่างแท้จริง
ขอขอบคุณกับบทความดี ๆ แบบนี้ ที่ได้วิเคราะห์ออกมาให้เห็นในแง่มุมต่าง ๆ หวังว่าสาระที่ผู้อ่านได้รับจะเป็นประโยชน์ในการกำหนดทิศทางให้กับตัวเองนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้องมากยิ่งขึ้น
ใช่ครูบางคนเค้าก็คงเข้าใจคิดว่า
ให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง
แต่ที่ไหนได้ เมื่อนักเรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง
เมื่อเกิดความสงสัยในช่วงหนึ่งผู้เรียนจะเกิดปัญหา
และจะหาคำตอบนั้นไม่ได้ ทางที่ดีครูผู้สอนควรให้คำชี้แนะอย่างใกล้ชิดกับผู้เรียน
บทความดีให้แง่คิด
หามาอีกนะคะ
ขอลปรร.กับบทความสักนิดนะคะ เกี่ยวกับความคิดเดิมและความคิดใหม่ เพราะบางข้อ ดิฉันเห็นไม่ค่อยตรงกัน แต่คิดว่าการที่เราวิเคราะห์จุดนี้ให้ดีๆ เราน่าจะได้แนวปฎิบัติที่เหมาะสมกับเด็กของเรามากยิ่งขึ้น
การเรียน การสอนแบบเน้นผู้เรียนนั้น ไม่ควรหยุดนิ่ง จะต้องมีการปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ โดยเรียนรู้จากการกระทำค่ะ ซึ่งระบบนี้น่าจะสนุกสนาน มีความสุขทั้งแก่ผู้เรียนและผู้สอน
"ความคิดเดิมมุ่งไปที่การดูว่าครูมีวิธีสอนที่ทำให้เด็กมีกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลายเน้นการคิดเอง ปฏิบัติเอง แต่ความคิดใหม่ความสำเร็จอยู่ที่ผลลัพธ์ของผู้เรียน"
ประเด็นนี้ดูจะเปรียบเทียบอะไรที่ไม่ตรงกัน จึงลปรร.ยากค่ะ แต่ตัวเองไม่รู้สึกว่าคุณครูสมัยก่อน(โดยมาก)มุ่งวิธีสอนอย่างนี้นะคะ
"ความคิดเดิมเชื่อว่า ผู้เรียนมีความสามารถต่างกันจึงมีผลการเรียนไม่เท่ากัน แต่ความคิดใหม่ผู้เรียนทุกคนสามารถเรียนรู้ได้เท่ากัน ถ้าครูจัดวิธีการเรียนให้เหมาะกับความสามารถของเขา"
เห็นด้วยกับความคิดเดิม แต่ความคิดใหม่ ผู้เรียนทุกคนไม่น่าจะเรียนรู้ได้เท่ากันนะคะ น่าจะเป็น เรียนรู้ได้ตามศักยภาพของผู้เรียน ซึ่งครูต้องรู้จักจัดการเรียนให้โดยดูตรงจุดนั้นๆ
"ความคิดเดิม ผู้เรียนเรียนรู้จากการอ่าน การฟัง การฝึก และการจดจำ แต่ความคิดใหม่ ผู้เรียนเรียนรู้จากได้รับประสบการณ์จากแหล่งต่าง ๆ จากการค้นคว้า ทดลอง ปฏิบัติ สอบถามผู้รู้ วิเคราะห์ แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน"
ประเด็นนี้ ดูเหมือนจะหมายถึง เดิมแบบเมื่อหลายๆสิบปีก่อน ที่เรานึกถึง สุ จิ ปุ ลิ แต่ถ้าเดิมเมื่อสักสิบยี่สิบปี คือรุ่นที่ดิฉันเป็นนักเรียนนั้น เราเน้นคิด ถามและเขียนน้อยลงจนน่าใจหาย เหลือก็แต่ฟัง และ จำเท่านั้น ถ้าหากเราสามารถทำให้กลับไปเน้นได้ครบทั้งสี่หลักจริงๆ ก็จะตรงกับความคิดใหม่นะคะ
เห็นด้วยกับข้อสรุป และอยากให้ยึดแนวทางนี้อย่างเข้าใจและยืดหยุ่น ผลประโยชน์ก็จะตกกับระบบการเรียนรู้ การคิดของเยาวชนของเราซึ่งจะเป็นอนาคตของชาติต่อไป เพราะระบบนี้น่าจะทำให้เราสามารถพัฒนาศักยภาพของคนได้ตรงกว่าการเรียน การสอนแบบเดิม
จากระบบเดิม เราจะได้คนเก่งมาจากการแข่งขันกันเอง คนดีมาจากการบ่มเพาะของสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติพื้นฐาน
ส่วนระบบใหม่ เราน่าจะได้คนเก่งและคนดี ที่ให้ความเคารพในความคิดของคนอื่น และภาคภูมิใจในความเป็นตนเอง โดยไม่ต้องคิดแข่งขันกับใคร ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ไปตลอดชีวิต แทนการกักเก็บสิ่งที่ตัวเองรู้เพราะกลัวคนอื่นเก่งกว่า หรือไม่ยอมแสดงว่าตัวเองไม่รู้ เพราะกลัวว่าคนอื่นจะเห็นว่าตัวเองไม่เก่ง
ความหมายกลุ่มเด็กหัวแหลม หมายถึงเด็กเรียนเก่งหัวไวสอนอะไรก็รู้เรื่องกลุ่มหัวทู่ก็ตรงกันข้ามคือสอนอะไรก็ไม่ซึมซับ คุณถามว่าสอนอย่างไรให้ได้รับรู้เท่าเทียมกัน
1.ในความเป็นจริงของธรรมชาติมนุษย์นั้นไม่มีอะไรเท่าเทียมกันดังนั้นไม่ว่าคุณจะสอนอย่างไรแม้เด็กในกลุ่มเดียวกันก็มีความรู้ไม่เท่ากันแน่นอน
2.ตัววัดความรู้ใช้อะไรวัดจึงจะเที่ยงตรง..ข้อสอบ?
การสอนให้เรียนรู้จึงมีปัจจัยหลายอย่างมาเกี่ยวข้องกันอย่างแรกครูหรือผู้สอนต้องตั้งใจจริง แน่วแน่ วิเคราะห์ปัญหาปัจจัยที่ทำให้เกิดความไม่อยากรู้ในตัวผู้เรียนให้หมดหรือจนไม่เป็นอุปสรรคในการอยากเรียนรู้ ปลุกเร้าให้ผู้เรียนกระหายใคร่รู้ให้ได้แล้วจัดการมอบหมายให้ กลุ่มเด็กหัวแหลม ช่วยเหลือกลุ่มหัวทู่ จัดให้เขาได้เรียนรู้ด้วยกันช่วยเหลือกันได้คะแนนร่วมกันโดยมีครูชี้แนะแต่ต้องระวังอย่าเข้าไปจัดการจนทำลายสัมพันธภาพการช่วยเหลือของกลุ่มและระวังไม่ให้เกิดปัญหา และจงเลือกใช้ตัววัดที่เป็นธรรมคุณจะประสบความสำเร็จ ถ้าครั้งเดียวไม่ได้ผลอาจต้องใช้หลายครั้งและวัตถุประสงค์ต้องชัดและไม่มากเกินไป