ขณะนี้เมื่อดูข่าวทางโทรทัศน์หรือหนังสือพิมพ์คงไม่มีเรื่องไหนดังไปกว่าข่าวกิจกรรมการรับน้องในมหาวิทยาลัยต่างๆ มีทั้งทัศนคติของบุคคลหลายฝ่ายแสดงความคิดเห็นทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับกิจกรรมนี้ มีภาพการรับน้องที่ไม่เหมาะสมมาเผยแพร่ในสื่อ ซึ่งผมก็คิดว่าเป็นภาพการกระทำที่ไม่เหมาะจริงๆของกิจกรรมรับน้อง แต่ส่วนหนึ่งผมก็ว่ากิจกรรมรับน้องบางกิจกรรมก็เป็นกิจกรรมที่ดีที่มีประโยชน์ เหตุการณ์ที่ทำให้สังคมตื่นตัวถึงกิจกรรมรับน้องก็เพราะการเสียชีวิตของน้องนักศึกษาใหม่คนหนึ่ง ซึ่งผมก็ขอแสดงความเสียใจ แต่ประเด็นที่อยากจะกล่าวถึงเกี่ยวกับเรื่องการรับน้องนี้ก็คือกระแสของสังคมที่กำลังสับสนและการแสดงความคิดเห็นของผู้ที่มีอำนาจในแวดวงการศึกษาหรือข้าราชการการเมืองที่เกี่ยวข้องบางคน ซึ่งผู้ใหญ่จะมองในลักษณะที่เป็นลบกับการรับน้อง ส่วนนักศึกษาที่ให้ความเห็นผ่านสื่อหรือสมาคมองค์การนักศึกษา(ถ้าเรียกชื่อผิดก็ขออภัยด้วยครับ)ก็มีความเห็นว่ากิจจกรรมรับน้องแม้จะมีบางคนบางกลุ่มที่เอาไปปฏิบัติในทางไม่ดีแต่ตัวของกิจกรรมเองเป็นกิจกรรมที่ดี เมื่อกระผมฟังทางสื่อแล้วรู้สึกว่าการที่ผู้ใหญ่ที่มีอำนาจในวงการศึกษาที่จบถึงด๊อกเตอร์ให้ความเห็นก็จะเป็นที่น่าเชื่อถือกว่าเด็กมหาลัยที่อยู่ปี3หรือปี4ซึ่งบางเหตุผลของเด็กก็ดี ผมจึงหยิบประเด็นนี้มาเพื่อขอความคิดเห็นจากชาว GoToKnow เพราะที่นี่ทุกคนมีความเท่าเทียมการเห็นด้วยหรือการน่าเชื่อถือน่าจะขึ้นกับเหตุผลเป็นหลัก และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความคิดเห็นที่แตกต่างกันจะเป็นข้อดีที่เราจะสามารถสรุปองค์รู้จากบทเรียนที่ผ่านมาเพื่อนำไปสู่วิถีทางการปฏิบัติที่ถูกต้องได้
โดยส่วนตัวกระผมแล้วคิดว่ากิจกรรมรับน้องเป็นกิจกรรมที่ดี โดยแนวคิดของกิจกรรมเพื่อให้
1.นักศิกษาใหม่ที่มาจากแต่ละที่ได้ทำความรู้จักกัน(ภายในเวลาอันสั้นผ่านทางกิจกรรมต่างๆ)
2.นักศึกษาใหม่ได้รู้จักรุ่นพี่เพื่อประโยชน์ของนักศึกษาใหม่เองเช่น การขอหนังสือจากรุ่นพี่ สอบถามข้อควรรู้ต่างๆจากรุ่นพี่ไม่ว่าการลงทะเบียน การเพิ่มถอนวิชาเรียนฯลฯ(ซึ่งสำหรับคนที่ไม่เคยทำเรื่องง่ายอาจดูเหมือนยาก)
3.นักศิกษาใหม่ได้รู้จักสถานที่ต่างๆภายในคณะเพราะบางคณะมีพื้นที่กว้างเช่นคณะวิศวะมีโรง shop ของแต่ละภาควิชา
4.ปลูกฝังให้ภูมิใจและรักคณะของตน บางคนมีคำถามว่าปลูกฝังทำไมเลือกมาเรียนก็เพราะรักอยู่แล้วแต่ผมคิดว่าอันที่จริงแล้วมีนักศึกษาอยู่ไม่น้อยรู้สึกผิดหวังที่ได้มาเรียนในคณะที่อยู่เพราะบางคนเลือกไว้อันดับสุดท้าย
5.ให้มีความอดทนทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งในข้อนี้จะมีคนที่ไม่เห็นด้วยค่อนข้างมาก เพราะการที่จะมีความอดทนทั้งร่างกายและจิตใจนั้นในการรับน้องจะใช้กิจกรรมที่เรียกว่าว๊ากมาเป็นเครื่องมือ ซึ่งวิธีการนั้นมีลักษณะลอกเลียนแบบมาจากการฝึกทหาร
การฝึกความอดทนทางร่างกายนั้นก็คือการออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เช่นการวิ่ง การวิดพื้น
ส่วนการฝึกความอดทนทางจิตใจนั้นก็คือกิจกรรมที่ให้ผู้ทำนั้นทำในสิ่งที่ไม่ชอบ เช่น ถูกว่า ถูกตะคอก ถูกทำให้รู้สึกไม่พอใจ ขาดอิศระภาพทางความคิด ต่อสู้กับความเมื่อยล้าเหน็ดเหนื่อย ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่ชอบทั้งสิ้น ไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่มีเสรีภาพ ซึ่งการทำกิจกรรมนี้ให้ได้ผลดีนั้นผู้ที่เป็นผู้ที่เป็นผู้สั่งจะต้องเข้าใจถึงขอบเขต หลักจิตวิทยา มีผ่อนหนักเบาซึ่งในกิจกรรมรับน้องนั้นมีหลายคนไม่เข้าใจถึงหลักจิตวิทยาแล้วนำไปใช้แบบผิดๆ การทำกิจกรรมนี้จึงเป็นสิ่งที่ยากหากจะทำให้ได้ดีจะต้องมีการทำความเข้าใจกับผู้ที่ควบคุมและมีการซ้อมเหมือนละครฉากหนึ่งที่สร้างความกดดันและสอดแทรกสัจธรรมถึงการแก้ปัญหาให้กับรุ่นน้อง ซึ่งการทำกิจกรรมนี้ในตอนท้ายๆของการรับน้องจะค่อยๆเฉลยและสอนน้องใหม่ไปในตัว(มีบางแนวคิดบอกว่าไม่ต้องทำแบบนี้ก็ฝึกคนให้มีความอดทนได้ซึ่งผมก็ไม่เถียง)
ดังนั้นโดยส่วนตัวผมคิดว่ากิจกรรมรับน้องเป็นกิจกรรมที่ดีและมีประโยชน์ต่อรุ่นน้อง เพียงแต่รุ่นพี่ต้องเลือกกิจกรรมให้เหมาะสมกับน้องผู้ปฏิบัติ และใช้กุศโลบายผ่านกิจกรรม จากเหตุการที่ผ่านมาในข่าวการรับน้องผ่านสื่อต่างๆจะเห็นว่าสิ่งที่เสียหายคือการที่รุ่นพี่มีความเข้าใจถึงจุดประสงค์ของการรับน้องแบบผิดๆ กิจกรรมที่ออกมาเลยผิดและไม่เหมาะสม เช่นออกมาในรูปบบของการอนาจาร ซึ่งแนวคิดการรับน้องจะสอนให้เป็นสุภาพบุรุษ ให้เกียรติคนรอบข้าง อย่าหยิ่งผยองว่าเราสอบเข้ามหาลัยแล้วเราเก่งจนไม่รู้จักฟังคนอื่นโดยเฉพาะพ่อแม่
ตอนแรกกระทรวงศึกษาออกหนังสือห้ามกิจกรรมรับน้องทุกมหาวิทยาลัย
ตอนนี้16/6/48ออกหนังสือยกเลิกหนังสือฉบับเดิมที่ห้ามการรับน้อง
งงกับจุดยืนกระทรวงศึกษา....
https://thematter.co/social/friendship-from-sotus/89834
จากใจ อาจารที่เคยว้ากกก