โรคเรื้อนเป็นโรคติดต่อเรื้อรังที่พบทุกภาคของประเทศไทย
มีชื่อเรียกแตกต่างกันไป เช่นขี้ทูต กุดถัง ไทกอ ทางประเทศลาวเรียก
“โรคพยาธิหลวง” โดยมีความเชื่อว่าเกิดจาก อาหาร พิษของพวกแมลง
การทำบาป ซึ่งที่แท้จริงเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
ชื่อไมโครแบคทีเรี่ยมเลปแปร ในสมัยก่อนใครเป็นโรคนี้ต้องปกปิดตนเอง
เพราะสังคมไม่ยอมรับ คนที่อยู่ใกล้ชิดก็มีโอกาสติดเชื้อโรคได้
ความเป็นอยู่ของคนเป็นโรคเรื้อนนั้นลำบากมากแม้จะกินน้ำใช้น้ำร่วมบ่อเดียวกันกับคนอื่นเขาก็กลัวติดโรคต้องแยกไปปลูกกระท่อมอยู่ปลายไร่ปลายนา
การรักษาสมัยก่อนให้กินยาหม้อ รดน้ำมนต์
เผาผิวหนังบริเวณที่เป็นรอยโรค สักสีดำทับรอยโรค
มายุคกลางค้นพบยา ดี ดี เอส โดยผู้ป่วยต้องกินยาตลอดชีวิต
การฟื้นฟูความพิการไม่ได้ทำไปพร้อมกัน ทำให้เกิดความพิการที่ มือ เท้า
ตา ซึ่งยังคงมีให้เห็นในนิคมต่างๆ
แต่สมัยก่อนเขาจะแยกเอาผู้ป่วยโรคเรื้อนมารวมกันไว้ในนิคมเป็นการแยกโรค
คนพวกนี้จะถือว่าเป็นโรคเรื้อนโบราณ
เนื่องจากปัจจุบันนี้มีการค้นพบยารักษาแบบใหม่ที่รักษาโรคเรื้อนหายขาด
99.99 เปอร์เซ็นต์ ถ้าค้นพบเร็วรักษาทันท่วงทีจะไม่เกิดความพิการ
การฝึกอบรมให้ความรู้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทุกระดับอย่างต่อเนื่องทำให้การแพร่ระบาดลดลงอย่างมาก
จนเจ้าหน้าที่บางท่านแทบจะลืมนึกถึงโรคนี้จึงทำให้เป็นที่มาของเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้
เช้าวันจันทร์เดือนตุลาคม 2547
ผมได้ทำหน้าที่ตรวจค้นหาผู้ป่วยโรคเรื้อนรายใหม่ ตรวจไปได้สามคน
พอคนที่สี่ซึ่งเป็นชายไทยอายุ 60
ปีรูปร่างสูงใหญ่ผิวขาวยิ้มเศร้าท่าทางกังวลให้ประวัติเป็นคนจังหวัดพิษณุโลกมีอาชีพทำขนมไทยส่งขายมีบุตรสามคน
เป็นผู้หญิงสองคน เรียนจบระดับปริญญามีงานทำอยู่ต่างจังหวัด
ส่วนคนเล็กเป็นชายเรียนชั้นมัธยมต้น
ขณะที่พูดคุยเพื่อสร้างสัมพันธภาพเป็นการผ่อนคลายรวมทั้งประเมินสภาพร่างกายจิตใจโดยเปิดประเด็นอาการที่มาตรวจวันนี้
ผู้ป่วย : ผมเป็นโรคผิวหนังผื่นแดงที่หน้าแก้ม
ตามตัวก็มีตุ่มเล็กๆ มีอาการคัดจมูกคล้ายเป็นหวัด
ตาข้างขวาหลับไม่สนิท มือ เท้าชา
อ่อนแรง
ผู้เล่า : เป็นมานานหรือยังครับลองเล่ารายละเอียดให้ผมฟังคร่าวๆ
ได้เลยครับ
ผู้ป่วย : ผมเริ่มมีอาการเมื่อปี 2538
เคยมาตรวจที่ศูนย์โรคเรื้อน สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่
9 ก็ได้ยาไปกิน ไปทา
อาการก็ไม่ดีขึ้นไปตรวจที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดก็ได้คำตอบเช่นเดียวกัน
จากนั้นจึงไปรักษาที่ธนบุรี และกรุงเทพฯ ปี
2546 ซื้อยาแผนโบราณเป็นยาหม้อ
มารับประทานอาการก็ยังไม่ดีขึ้นวันก่อน ผมไปตรวจที่คลินิกแพทย์
แถวถนนลิไทแพทย์บอกเป็นโรคผิวหนังที่มีอาการชาร่วมด้วยต้องไปตรวจที่ศูนย์โรคผิวหนังเขต
9 พิษณุโลก ผมจึงมาที่นี่ ผมยังรักษาไม่ถูกทาง
เบื่อนะ
ผู้เล่า :
ตามที่คุณเล่ามาตั้งแต่ต้นนี้ลองถอดเสื้อและดึงขากางเกงขึ้นให้ผมดูร่างกายของคุณทุกส่วนว่า
ลักษณะของวงผื่น ตุ่มมีมากน้อยแค่ไหน
พร้อมคลำเส้นประสาทที่เกี่ยวข้องกับโรคผิวหนังที่เป็นอยู่
และทดสอบความรู้สึกของผิวหนังว่ามีอาการชาหรือไม่
ถ้าตรวจร่างกายเสร็จแล้วเดี๋ยวจะพาไปตรวจหาเชื้อโรค
โดยการกรีดผิวหนังไปย้อมเชื้อประมาณหกตำแหน่ง
ผู้ป่วย : คราวก่อนผมก็เคยขูดหาเชื้อราแต่ไม่พบ
ผู้เล่า : หลังจากได้ผลการตรวจจากห้องปฏิบัติการแล้ว
เราสามารถวินิจฉัยโรคได้เลยเพราะมีข้อมูลสนับสนุนครบ
ทั้งอาการทางผิวหนังเฉพาะของโรคเรื้อน อาการทางเส้นประสาท
ผลการตรวจเชื้อห้องทางปฏิบัติการซึ่งพบเชื้อโรคเรื้อน
จึงเชิญผู้ป่วยมารับฟังผลการวินิจฉัยโรคอีกครั้ง
ผู้ป่วย : คุณหมอครับผมเป็นโรคอะไร
ผู้เล่า : หลังจากการตรวจร่างกายครบแล้วพบว่าคุณ
เป็นโรคผิวหนังเนื้อชา ก็คือโรคเรื้อน
คุณเคยรู้จักโรคนี้มาก่อนหรือเปล่า
ผู้ป่วย :ไม่เคยทราบเลยครับ
ญาติพี่น้องผมก็ไม่มีใครเป็นโรคนี้ แล้วจะรักษาอย่างไร
ผู้เล่า : โรคนี้มียารักษาเฉพาะใช้เวลารักษา 2
ปี
ผู้ป่วย : มิน่าล่ะอาการของผมถึงยังคงเหมือนเดิม
ผู้เล่า
:เพื่อผลประโยชน์ของคุณเองก่อนที่คุณจะรักษาเรามาทำความเข้าใจกับโรคก่อนนะครับ
ประทานโทษไม่ทราบว่าคุณเรียนจบชั้นไหนครับ
ผู้ป่วย : อ๋อ! เรียนจบ ม.6 ภรรยาจบมัธยม 3
ครับ
ผู้เล่า : ดีครับ
เชิญภรรยามาฟังไปพร้อมกันเลย
คือโรคเรื้อนเป็นโรคที่เกิดจากตัวเชื้อโรคเรื้อนเองทำให้เกิดอาการทางผิวหนังและเส้นประสาทส่วนปลายทิ้งไว้นานจะทำให้เกิดความพิการที่
ตา มือ เท้า
อาการทางผิวหนัง เป็นลักษณะเฉพาะของโรคเรื้อน
วงด่างชา ผื่นแดง ตุ่ม
อาการทางประสาท เส้นประสาทส่วนปลายถูกทำลาย จะทำให้ผิวหนังแห้ง
เหงื่อไม่ออก กล้ามเนื้ออ่อนแรง
การติดต่อ
ผู้ป่วยเชื้อมากที่ไม่เคยรักษามาก่อน
สามารถแพร่เชื้อให้ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดได้
ผู้ที่ภูมิต้านทานต่ำเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคเรื้อนได้
ผู้ที่ภูมิต้านทานดีเชื้อโรคเรื้อนก็จะถูกทำลายไปทำให้ไม่เกิดโรค
การรักษา ถ้าเชื้อน้อยใช้เวลารักษา 6 เดือน
ใช้ยา 2 ชนิด
ถ้าเชื้อมากใช้เวลารักษา 2
ปี ใช้ยา 3 ชนิด
กรณีของคุณ ใช้เวลารักษา 2 ปีใช้ยา 3 ชนิดด้วยกัน
ผลข้างเคียงของยา ตัวอย่าง
ยาไรแฟมพิซิน คือปวดเมื่อย อ่อนเพลีย
ปัสสาวะสีส้มแดงยาถูกขับทิ้งออกมากกับปัสสาวะ
ยาแด๊ปโซน ทำให้โลหิตจาง ผื่นแพ้ตับอักเสบโดยเฉพาะคนที่เคยแพ้
ซัลฟา
ยาโคฟาซิมิน
จะสะสมอยู่ใต้ผิวหนังทำให้ผิวคล้ำดำตรงบริเวณที่เป็นรอยโรค
ภาวะแทรกซ้อน เส้นประสาทอักเสบ
และภาวะเห่อจากการเปลี่ยนแปลงของ
ภูมิต้านทานของร่างกายต่อการรักษาอาการแสดงที่อาจจะเกิดขึ้น คือ
เห่อผื่นแดง เส้นประสาทอักเสบ บวม แดง ร้อน มีไข้
กรณีของคุณมีตาข้างขวาอักเสบต้องไปพบจักษุแพทย์เพื่อรักษาอาการดังกล่าว
จากนั้นคุณต้องดูแล มือ และ เท้าที่มีอาการชา
ด้วยตัวเองอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นการป้องกันความพิการ
สำหรับวันนี้คุณกินยา 3 ชนิด รวมแล้ว 9 เม็ดพรุ่งนี้คุณก็กินยาอย่างละ
1 เม็ดในตอนเย็นทุกวัน ถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงให้มาก่อนเวลานัด
เอาเอกสารไปอ่านด้วยครับ มีอะไรสงสัยถามได้เลย หรือ
มีปัญหาให้โทรถามได้ครับ
หนึ่งเดือนผ่านไปผู้ป่วยมาตามนัด
คราวนี้มาพร้อมด้วยภาวะเห่อชนิดผื่นนูนแดงหลายแห่งเช่นที่ หน้าผาก
หัวคิ้ว คาง สะบักหลัง อก
เท้าข้างขวาบวมต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบข้างขวาโต
ตาข้างขวาหลับไม่สนิท มีระยะห่างประมาณสองมิลลิเมตร น้ำตาไหล
ริมฝีปากหนาบวมแดง จากการพูดคุยผู้ป่วยไม่กังวลมากนัก
เพราะผู้ป่วยได้รับคำปรึกษาเกี่ยวกับโรคนี้ สองครั้งแล้ว
การให้ข้อมูลผู้ป่วยภาวะเห่อที่ร่างกายตอบสนองกับยารักษาโรคเรื้อน
และโรคเห่อชนิดผื่นแดงอาจเกิดขึ้นได้ขณะรักษาและหลังจากรักษาครบเกณฑ์สองปีแล้วก็เกิดขึ้นได้เป็นบางราย
การให้กำลังใจบวกแรงจูงใจ การดูแลผู้ป่วยภาวะเห่อตามแผนการรักษาของ
WHO ผนวกกับการนำเอาแผนการพยาบาลภาวะวิกฤตมาใช้กับผู้ป่วย
การประเมินสภาพร่างกายตรวจสอบเส้นประสาทที่จะทำให้เกิดความพิการ ตา
มือ เท้า ตลอดจนสุขอนามัยทั่วไป
ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลายสังเกตได้จากท่าทีที่ยิ้มแย้มแจ่มใส
เดือนที่ สาม อาการทั่วไปดีขึ้นหลังจากได้รับยา เพรดนิโซโลน
ตามแผนการรักษา
ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นมากผื่นราบรอยโรคจากสีเข้มเปลี่ยนเป็นสีซีดจางเท้าที่เคยบวม
ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบ ตาที่หลับไม่สนิท ทุกอย่างเข้าสู่ภาวะปกติ
ผู้ป่วยจะพูดเสมอว่า“สิบปีไม่สายสำหรับการรักษา.”เวลาที่รักษาเพียงสามเดือนดีขึ้นขนาดนี้ก็พอใจอย่างมากแล้ว
ปัจจุบันรักษาเดือนที่
18 ผู้ป่วยจะมาตรวจตามนัดทุกครั้งไม่เคยขาดยาถึงแม้ว่าอาการต่างๆจนเกือบเข้าสู่ภาวะปกติก็ตามจากประสบการณ์ที่แสวงหาที่รักษามา10ปี
จนสิ้นหวังต้องไปรักษาด้วยยาแผนโบราณแทน
แต่ตอนนี้พอใจแล้วเพราะสามารถทำมาหาเลี้ยงชีพอยู่ในสังคมได้อย่างปกติ
ความรู้สึกที่เป็นคนดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อนมานาน จึงเห็นใจผู้ป่วยรายนี้
ดังนั้นการตรวจค้นหาผู้ป่วยโรคเรื้อนต้องคำนึงเสมอว่าโรคผิวหนังทุกชนิดมันใกล้เคียงกับโรคเรื้อนทั้งนั้น
เช่น กลากเกลื้อน เรื้อนกวางลมพิษ ปานขาว
ปานแดงและโรคผิวหนังอื่นๆ
ซึ่งโรคเรื้อนจะมีความแตกต่างจากโรคผิวหนังทั่วไปคือไม่มีอาการคัน
กรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคผิวหนังที่รักษามาแล้วหลายแห่งอาการไม่ดีขึ้นจึงต้องให้ความสำคัญ
และมีการดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องเพราะผู้ป่วยไม่สามารถวินิจฉัยโรคเองได้
นอกจากบอกเล่าตามอาการและความรู้สึกนึกคิดของผู้ป่วยเอง
ฉะนั้นควรช่วยกันพินิจพิจารณาให้รอบคอบแล้วจะทำให้ผู้ป่วยไม่เกิดความพิการ
ไม่แสวงหาที่รักษาทำให้เสียเวลาและเสียความรู้สึกที่ดีต่อหน่วยงานของราชการโดยไปรักษาแพทย์แผนโบราณซึ่งสวนทางกับการรักษาโรคเรื้อนแผนใหม่ที่สามารถรักษาให้หายขาดได้
โดยการดำเนินงานค้นพบผู้ป่วยรายใหม่ที่รวดเร็ว
เพื่อให้การรักษาก่อนเกิดความพิการ
รวมทั้งการเฝ้าระวังที่มีประสิทธิภาพ อย่างต่อเนื่อง
และยั่งยืน