วันนี้ขอเล่าเรื่อง "คลินิกเบาหวาน" ของ รพ. พยุหคีรี จ. นครสวรรค์ ซึ่งเราได้ไปเห็นของจริงมาเมื่อวันที่ 4 ส.ค. 48 ที่ผ่านมา
ปกติแล้ว รพ. พยุหคีรี จะเปิด "คลินิกเบาหวาน" ทุกวันพฤหัส กับ ศุกร์ นัดคนไข้เบาหวาน เป็นประจำ วันที่เราไปดูเป็นวันพฤหัส ตอนเช้าประมาณ 7-8 โมง จะเห็นคนไข้เบาหวานนั่งรอเป็นแถวๆ ตรวจเลือด ความดัน เต็มไปหมด เยอะมากค่ะ วันนั้นประมาณได้เกือบ 100 คน(มีการทำทะเบียนติดตามผู้ป่วยที่ไม่มาตามนัด ด้วย) กิจกรรมทาง รพ. จะจัดให้มีการออกกายบริหาร รำไม้กระบอง ตอนเช้า (แล้วแต่คนไข้สมัครใจ) พร้อมจัดข้าวต้มและน้ำสมุนไพรให้ทานตอนเช้า เสร็จแล้วระหว่างนั่งรอคิดตรวจเช็คน้ำตาล ทางพยาบาล ก็จะเลือกให้คนไข้ที่ผลตรวจน้ำตาลลดลง หรือมีสุขภาพดีขึ้น มาเล่าให้เพื่อนๆ คนไข้คนอื่นๆ ที่นั่งรออยู่ว่ามีการปฏิบัติบัติตัวอย่างไร เป็นเหมือนเพื่อนมาเล่าเรื่องกิจกรรมหน้าชั้นเรียน (ขอโทษที่ไม่ได้ถ่ายภาพมานะคะ) จากนั้นคุณพยาบาล ก็จะคอยสรุปความรู้หรือตีความว่า ที่ป้าหรือลุงคนนี้เล่ามา แสดงว่าเขากินของหวานน้อยลงใช่ไหม กินเป็นเวลาใช่ไหม ออกกำลังกายยังไง หรือ ฯลฯ. บรรยากาศเป็นกันเอง เฮฮามากค่ะ มีการลุ้นผลตรวจตอนประกาศด้วยว่าใครน้ำตาลลดมากกว่ากัน (คนไข้เป็นคนพื้นที่เดียวกัน รู้จักกันด้วยค่ะ) จากนั้นก็จะมีบางส่วนที่ตรวจแล้วพบว่ามีระดับน้ำตาลสูงขึ้นมาก หรือคนไข้ไหม่ กับ คนที่ระดับน้ำตาลลดลงมาก หรือ สุขภาพดีขึ้น ทาง รพ. จะขานชื่อว่าให้มาทำกลุ่มย่อย (Group therapy) คนที่ถูกคัดเลือกแล้วจะออกไปรวมกลุ่มนั่งล้อมวงเล็กๆ ที่ลานออกกำลังกายอีกที มีพยาบาลทำกลุ่มเบาหวาน (พี่ส้มเสี้ยว อิ่มเนย) มาเป็น "คุณอำนวย" กลุ่ม คอยกระตุ้นให้คนที่มีสุขภาพดีขึ้นเล่าว่าทำอย่างไร แล้วสรุปให้กลุ่มฟังอีกที นอกจากนี้ยังคอยถามคนไข้ด้วยว่ามีปัญหาอะไรไหมในปัจจุบัน (ทั้งทางกายและใจ) เป็นเหมือนทำ "จิตบำบัด" ด้วย วันนั้นที่ไปดู กลุ่มย่อยมีไม่มากนัก ไม่ถึง 10 คน เล่ากันไป เล่ากันมา มีการลุกขึ้นมาออกท่าบริหารร่างกายให้กลุ่มดูด้วยค่ะ บางคนพอถูกถาม ก็บอกว่าไม่ได้ทำอะไร เอ ! ทำไมน้ำตาลขึ้น พอคุยกันมากขึ้น ก็ยอมบอกว่า "อยู่บ้านมันหิว เลยขอกินข้าวหน่อย นับย่อยๆ แล้วเกิน 5 มื้ออีก" ดูแล้วคุณพยาบาลที่เป็น "คุณอำนวย" ต้องมีเทคนิคจิตวิทยาเยอะเหมือนกัน
เสร็จจากกลุ่มแล้วก็ไปคุยต่อที่ ทีมคัดกรองผู้ป่วย ทีมมีประมาณ 5 คน รับผิดชอบ 8 หมู่บ้าน ลงไปคัดกรองผู้ป่วยในพื้นที่โดยมีอาสาสมัครหมู่บ้านช่วยด้วย จะแบ่งทีมไปทีละ 2-3 คน เพื่อคัดกรองผู้ป่วย/เสี่ยง เบาหวาน, ความดัน, มะเร็งเต้านม ตามหมู่บ้านก่อนแล้วค่อยคัดผู้ป่วย หรือเสี่ยงมาตรวจอีกทีที่ รพ. โดยจะใช้วิธีให้ อบต. หรือ ผู้ใหญ่บ้าน ประกาศว่าจะมีคนมาตรวจสุขภาพให้ แล้วนัดเวลา พอไปถึงก็จะถามชาวบ้านด้วยปากเปล่าก่อนถึงปัจจัยเสี่ยง แล้วจึงมีการเจาะเลือดตรวจ ทีมคัดกรองทั้งหมดเมื่อลงไปทำงาน ก็จะกลับมาเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ปัญหา และเทคนิคการแก้ให้คนอื่นๆ ที่ไม่ได้ไปด้วยฟัง เป็นการถ่ายทอดความรู้ไปด้วย นอกจากนี้ยังจัดให้มีการประชุมสัญจร กับ อสม. ทุกวันที่ 20 ของเดือน (ให้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้การแก้ปัญหากัน) ความสำเร็จที่ทีมได้ คือ รพ. สามารถคัดกรองผู้ป่วย ได้เปอร์เซ็นตสูงเกิน 90 % ในหลายๆ โรคเลยทีเดียว ซึ่งถือว่าเป็น Best Practice ให้ รพ. อื่นได้ดี
จากนั้นเราก็ไปคุยต่อที่ "ห้องยา" ว่าเขาจัดการอย่างไรกับเรื่อง "ความคลาดเคลื่อนทางยา" หรือ การให้คำแนะนำในการใช้ยากับผู้ป่วย เภสัชกรให้ห้องได้เล่าให้ฟังว่า ทางห้องยาจะมี แบบฟอร์มรายงานความคลาดเคลื่อนทางยา เพื่อเก็บข้อมูลนำมาวิเคราะห์และหาทางแก้ปัญหาอยู่แล้ว โดยฟอร์มนี้เดิมมาจากส่วนกลาง แล้วเราก็มาช่วยกันปรับเติมในส่วนที่เราเห็นว่าทางเรามี และควรเพิ่ม ส่วนเรื่องการให้คำแนะนำการใช้ยากับผู้ป่วย ถ้าผู้ป่วยทานยาผิดบ่อยก็ต้องเอาญาติผู้ป่วยเข้ามาร่วมคุยทำความเข้าใจด้วย แล้วพยาบาล หรือเจ้าหน้าที่ที่จ่ายยา ก็ต้องประสานงานกันช่วยบอกข้อมูลปัญหา และช่วยทำความเข้าใจกับคนไข้ ส่วนเรื่องเบาหวาน หลังจากที่ได้เข้าร่วมเวทีเครือข่ายการเรียนรู้ ของ สสจ. เขาก็ได้มาปรับเปลี่ยนการใช้เข็มฉีดยาอินซูลิน ของคนไข้ มาเป็นให้ใช้ "ปากกาฉีด" แทน เพราะเห็นว่าวิธีใช้ง่ายกว่า และราคาไม่แพงนัก ผลก็คือ ทำให้คนไข้เบาหวานที่ต้องฉีดยา ยอมฉีดยามากขึ้น (ฉีดด้วยตัวเองได้ ง่ายๆ)
รวมแล้วเราใช้เวลาดูที่นี่ครึ่งวัน จากตอนแรกที่คิดว่าน่าจะดูเสร็จประมาณ 9 โมงเช้า เนื่องจากความน่าสนใจของกิจกรรมต่างๆ แต่ก็คุ้มค่ะ ที่ได้เห็นกิจกรรมที่สอดแทรก KM อยู่ในงานประจำเต็มไปหมด และสามารถทำให้งานของ รพ. มีคุณภาพมากขึ้น เห็นผลสำเร็จของงาน ที่น่าดีใจมากอีกอย่างก็คือ เขาได้นำความรู้จาก เวทีสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ ที่ สสจ. จัดขึ้นโดยใช้ KM มาปรับใช้ปรับปรุงงานให้ดีขึ้นด้วย ได้พลังเครือข่ายการเรียนรู้ จริงๆ ค่ะ