การประชุมนี้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 31 มี.ค.49 ที่โรงแรมเอเชีย จัดโดย สกอ. ชื่อเต็มคือ "โครงการวิจัยเพื่อคาดการณ์สถานภาพการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์กายภาพและวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ กรณีศึกษาในคณะเกษตรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และภาควิชาชีวเคมี"
เป้าหมายของผมในการเข้าร่วมประชุม
1.
เพื่อเรียนรู้สถานภาพการวิจัยในหน่วยงานเหล่านี้
และเรียนรู้แนวโน้มความเข้มแข็งด้านการวิจัย
2. ต้องการเรียนรู้ความแตกต่างระหว่างสาขาวิชา
ลักษณะจำเพาะของสาขาวิชา
3. เพื่อให้ข้อคิดเห็นในฐานะที่ปรึกษาโครงการ
4.
เพื่อสังเกตปัจจัยรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับความเข้มแข็งของการวิจัย
5.
เพื่อเรียนรู้วิธีดำเนินการวัดความเข้มแข็งของการวิจัยในสาขาวิชาต่าง
ๆ
สิ่งทีได้เกินคาดหมาย
1. ได้เรียนรู้ข้อมูลต่าง ๆ มากมายที่ผมไม่เคยรู้
2. ชื่นชมผลงานการศึกษาลงรายละเอียดในสาขาชีวเคมีของ ศ. ดร.
จิรพันธุ์ กรึงไกรและคณะ
ทำให้เห็นสถานภาพจุดแข็งจุดอ่อนของการวิจัยในมหาวิทยาลัยไทยชัดเจน
ว่าความเข้มแข็งเกิดขึ้นจากตัวบุคคลเป็นสำคัญ
แทบไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวระบบเลย
เห็นความเข้มแข็งทางวิชาการของสาขาวิชาชีวเคมีในมหาวิทยาลัย 13
คณะนี้ ซึ่งมีอาจารย์ระดับปริญญาเอกถึง 77%
ในบางภาควิชาเช่นของ มข. เป็นอาจารย์ปริญญาเอก 100%
3. ได้รับรู้นวัตกรรมด้านการบริหารงานบุคคลของ มข.
ที่จัดให้อาจารย์เลือกเข้ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่งใน 4 กลุ่ม
และจะประเมินผลงานตามเกณฑ์ของแต่ละกลุ่ม
สิ่งทีได้น้อยกว่าที่คาดหมาย
ที่จริงก็ไม่ผิดคาด แต่เนื่องจากมีเวลาเพียง 3
ชั่วโมง จึงทำให้การนำเสนอต้องเร่งรีบ
เวลาสำหรับการแลกเปลี่ยนมีน้อย
ข้อเสนอแนะให้ปรับปรุง
หากจะมีการจัดประชุมเช่นนี้อีก
ควรจัดเวลา 1 - 2 วัน จัดนอกสถานที่ เช่น
ไปต่างจังหวัด ให้มีเวลามาก
จัดการประชุมอย่างประณีต พูดลงรายละเอียด
ลงไปในบริบทและ "เรื่องราวเบื้องหลัง"
อันเป็นประเด็นสำคัญต่อการพัฒนาความเข้มแข็งของการวิจัยในมหาวิทยาลัย
คือต้องจัดการประชุมเพื่อเป้าหมายการพัฒนา
ไม่ใช่เพื่อการประกวดแข่งขันว่าใครดีกว่าใคร
ข้อสังเกตเพิ่มเติม
1. ต้องแยก มรภ. & มรม. ไปดำเนินการต่างหาก
ใช้เกณฑ์ที่แตกต่างกัน เกณฑ์คุณภาพ & relevance
ของการวิจัยต้องแตกต่างออกไป
2. ผู้บริหารของ สกอ. ต้องมาร่วมเพื่อ capture
ความรู้ระหว่างบรรทัดไปดำเนินการพัฒนาความเข้มแข็งด้านการวิจัยของมหาวิทยาลัย
ผมมองว่า สกอ. เป็นจำเลยที่ 1
ที่ระบบวิจัยในมหาวิทยาลัยอ่อนแอเช่นนี้
และการจัดการในปัจจุบันของ สกอ.
หลายโครงการจะก่อความอ่อนแอของการวิจัยในมหาวิทยาลัยให้ยิ่งอ่อนแอลงไปอีก
สิ่งที่ สกอ.
ต้องพัฒนาขีดความสามารถคือ การจัดการเชิงระบบ
เพื่อสร้างความเข้มแข็งของการวิจัยในมหาวิทยาลัย
3. การกระจายอายุของอาจารย์ที่ไม่เหมาะสม
ดังตัวอย่างด้านเกษตรเป็นเรื่องน่าตกใจ
และสะท้อนให้เห็นว่าวงการอุดมศึกษาขาดการจัดการเชิงระบบเกี่ยวกับการพัฒนาอาจารย์
4. จุดอ่อนที่สุดของงานวิจัยชิ้นนี้คือ
การใช้ตัวชี้วัดชุดเดียวต่อศาสตร์ที่ต่างกัน
โดยเฉพาะศาสตร์ด้านพื้นฐานกับศาสตร์ประยุกต์
โดยเฉพาะเกษตรศาสตร์
5. มหาวิทยาลัย/คณะที่มีเงินสนับสนุนการวิจัย
พึงจัดการเงินนี้อย่างชาญฉลาด
อย่าให้เกิดผลเชิงลบ
ทำให้นักวิจัยไม่ขวนขวายออกไปแข่งขันหาทุนภายนอก
จึงไม่สามารถเติบโตเป็นนักวิจัยชั้นยอดได้
6. มหาวิทยาลัยที่มีวารสารของมหาวิทยาลัยเป็นที่ยอมรับสูง
อาจได้รับผลเสีย
ทำให้นักวิจัยไม่ขวนขวายหาทางตีพิมพ์ในวารสารที่มี impact
factor มอ. ควรพิจารณาเรื่องนี้
7. น่าจะศึกษาลงรายละเอียด เปรียบเทียบระบบของ มทส.
กับมหาวิทยาลัยในระบบราชการ
ว่าเอื้อต่อการวิจัยมากน้อยกว่ากันอย่างไร
มีประเด็นสำหรับเป็นบทเรียนอย่างไรบ้าง
เพราะผลงานวิจัยตีพิมพ์ต่อหัวของอาจารย์ของ มทส.
เด่นเกือบทุกสาขาวิชา
8. สกอ. ต้องเร่งให้มีการกำหนดวิธีวัด Social Impact Factor
สำหรับใช้ควบคู่กับ Scientific/Academic Impact Factor
ที่มีใช้อยู่แล้ว คำว่า Social Impact Factor
หมายถึงผลกระทบต่อสังคมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม
และด้านอื่น ๆ
9. ผมเกิดความคิดขึ้นมาว่า
เวลาพูดถึงการวิจัยเพื่อผลต่อสังคม
มักมีคนบอกว่าต้องวัดผลต่อภาคธุรกิจ
ผมมองว่าวัดเฉพาะผลต่อภาคธุรกิจไม่เพียงพอ
และบางครั้งเป็นอันตรายต่อสังคม เช่น
กรณีนักวิจัยด้านเกษตรวิจัยเพื่อให้บริษัททำธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมไปครอบงำเกษตรกร
เกิดผลร้ายต่อเกษตรกร
ควรมีการวิจัยที่ช่วยให้เกษตรกรพึ่งตนเองได้
10.
งานวิจัยชิ้นนี้ควรมีเป้าหมายไม่ใช่แค่เพื่อตรวจสอบความเข้มแข็งของการวิจัย
แต่ควรเน้นที่การชี้จุดสำคัญเพื่อการพัฒนาความเข้มแข็งของการวิจัย
คือไม่เน้นแค่ what แต่ก้าวเข้าไปที่ how และ why
11. มีคนทางเกษตรมาอภิปรายว่าด้านเกษตรเน้นวิจัยประยุกต์
ไม่เน้นสร้างองค์ความรู้ ผมไม่เห็นด้วยเพราะ
(1) การวิจัย 2
แบบนี้ไม่จำเป็นต้องแยกกัน
ถ้าตั้งโจทย์วิจัยเป็น จะได้ทั้งการตีพิมพ์ในวารสารที่มี
impact factor และได้ผลงานที่ประยุกต์ใช้ได้
มีตัวอย่างนักวิจัยแบบนี้ ชี้ตัวได้
แต่นักวิจัยไทยอ่อนแอด้านการตั้งโจทย์วิจัย
(2) การวิจัยประยุกต์ล้วน ๆ
ควรทำโดยหน่วยงานของรัฐ
มหาวิทยาลัยควรทำงานวิจัยที่เน้นการสร้างองค์ความรู้
โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยที่ประกาศตัวเป็นมหาวิทยาลัยวิจัย
12. พึงระวังการวิจัยแนวอาณานิคม วิจัยรากลอย
คือแทนที่จะหยั่งรากลงในสังคมไทย กลับโดยรากไปหา advisor
เก่าที่ต่างประเทศ
หรือตามโจทย์ที่แหล่งทุนต่างประเทศกำหนด
หรือตามการครอบงำในรูปแบบอื่น ๆ จากต่างประเทศ เช่น
globalization, ทุนนิยม, บริโภคนิยม
13. ควรบันทึกการนำเสนอและการอภิปรายแลกเปลี่ยนครั้งนี้ (และครั้งต่อ
ๆ ไป) เอาขึ้นบล็อกหรือเว็บไซต์ เพื่อสร้าง dialogue
ในวงกว้าง
ขับเคลื่อนการพัฒนาความเข้มแข็งของการวิจัย
14. ทุนวิจัยภายนอก
เป็นกลไกสำคัญในการสร้างนักวิจัยที่ทำวิจัยจริงจัง
น่าเสียดายที่รัฐบาลนายกทักษิณไม่ใช้หน่วยงานที่บริหารจัดการทุนวิจัยได้ผลดีเป็นที่ยอมรับ
เพียงเพราะตนต้องการใช้เงินเป็นเครื่องมือหาพวกหาเสียง
15. สอก./ทปอ./สมศ./สกว. และอื่น ๆ ต้องช่วยกัน diversity
มหาวิทยาลัย มีการจัดการให้มีการแยกกลุ่ม
16 ควรมีการดำเนินการอีก 1 โครงการ
คือการเข้าไปเสาะหาความสำเร็จของมหาวิทยาลัยแต่ละภาควิชา/คณะ
และเข้าไปศึกษารายละเอียดว่าความสำเร็จนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร
สำหรับนำมาเป็นบทเรียนและเสนอแนะระบบการจัดการอุดมศึกษา
ทั้งในระดับประเทศและระดับสถาบัน
17. โครงการนี้ควรสรุปและเสนอแนะระบบการจัดการงานวิจัย
ที่เหมาะสมในระดับประเทศและระดับสถาบัน
18. ทรัพยากรด้านการวิจัยที่มีอยู่ของประเทศ
สามารถผลิตผลงานได้มากกว่านี้นับเท่าตัว
หากมีการบริหารจัดการที่ดี โดย
(1) build - up on success
ในการจัดการทุนวิจัย
(2) ไม่ติดโรค NIH
(3) ไม่ปกครองบ้านเมืองแบบ
cronyism
วิจารณ์ พานิช
2 เม.ย.49