ท่ามกลางเสียงก้องกระหึ่ม
‘ทักษิณ…..ออกไป’ หากเงี่ยหูฟังให้ดีจะพบว่ามีความพยายามในการนำเสนอ
‘เนื้อหา’ของการปฏิรูปการเมืองด้านต่างๆ กันบ้างแล้ว
<p>เวทีเสวนาที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่
29 มีนาคมที่ผ่านมาก็เป็นอีกเวทีหนึ่งที่มีการนำเสนอทางออก
และมองข้ามช็อตว่าด้วย ‘วิกฤตการเมือง วิกฤตเลือกตั้ง Post
Thaksin การเมืองภาคพลเมืองได้อะไร?’
ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์ ประธานสถาบันการเรียนรู้และพัฒนาประชาสังคม
กล่าวว่า สภาวะหลังทักษิณ
จะเป็นเช่นไรขึ้นอยู่กับความสามารถของกลุ่มบุคคลที่กำลังทำการเปลี่ยนแปลงอยู่ขณะนี้ว่าจะมีทักษะเชื่อมโยงความคิดหลากหลายของผู้คนในสังคมเพื่อให้เกิดวิสัยทัศน์ร่วมกันหรือ
Share Vision ได้เพียงไร
“ที่ผ่านมาหลังการเคลื่อนไหวทางการเมืองเสร็จสิ้น กลุ่มพลังต่างๆ
ก็มักจะแตกกันไป ต่างคนต่างไป ปล่อยให้เป็นเรื่องของนักการเมือง
ทำอย่างไรคราวนี้ทุกภาคส่วน
ทั้งคนเมืองคนชนบทจะเป็นหุ้นส่วนการเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพ
และทำงานร่วมกันอย่างยาวนาน ซึ่งผมว่าน่าจะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 5
ปี”
ชัยวัฒน์ กล่าวอีกว่า
การปฏิรูปการเมืองนั้นเลี่ยงไม่พ้นที่ต้องพูดถึงอำนาจ
และผู้คนก็มักมองข้ามอำนาจของการพบปะพูดคุย
ซึ่งนำไปสู่อำนาจทางปัญญาและสามารถแก้ปัญหาได้จริง
ในเบื้องต้นจะต้องเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญให้อำนาจประเภทใหม่นี้เกิดขึ้นเพื่อรองรับศักยภาพเหล่านี้
รวมทั้งต้องมีการปฏิรูปสื่อมวลชนให้มีคุณภาพ
เพราะการพัฒนาเป็นไปได้ยากในที่ที่มีช่องว่างทางข้อมูลข่าวสาร
นอกจากนี้ต้องมีการเรียนรู้บทเรียนจากต่างประเทศที่สามารถเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสได้
โดยชัยวัฒน์เสนอตัวอย่างของประเทศเยอรมนี ที่สามารถปฏิรูปการเมือง
ปฏิรูปสื่อ และให้การศึกษาทางการเมืองกับประชาชน
เพราะไม่ต้องการให้เกิดผู้นำอย่างฮิตเลอร์อีกต่อไป
ที่สำคัญจะต้องมีการสื่อสารกับพรรคการเมือง
ซึ่งเป็นการประสานกันระหว่างอำนาจใหม่และอำนาจเก่า
นพ.พลเดช ปิ่นประทีป ผู้อำนวยการสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา ทำนายว่า
แม้จะชนะการเลือกตั้ง แต่คาดว่าในปี 2550
อำนาจในการบริหารของพ.ต.ท.ทักษิณ จะหมดอย่างสิ้นเชิง
แต่กระแสความคิดของระบอบทักษิณนั้นจะยังคงอยู่และลงรากลึกในสังคมไทย
รวมทั้งกลุ่มทุนพันธมิตรของพ.ต.ท.ทักษิณ ก็จะยังคงแข็งแรงอยู่
“มันจึงไม่ใช่คำถามว่าประชาชนจะได้อะไรในยุคหลังทักษิณ
แต่ต้องถามว่าประชาชนจะคิดอะไร อยากได้อะไร และต้องลงมือลงแรงอย่างไร
การสร้างสรรค์เป็นเรื่องยากกว่าการกวาดล้างของเก่าที่ไม่ดี
เราต้องคิดกันตั้งแต่เนิ่นๆ”
นพ.พลเดช นำเสนอว่า การปฏิรูปการเมืองรอบที่ 2 ต้องไม่ใช่การรื้อใหม่
แต่ต้องเป็นการแก้ไขและเสริมส่วนที่จำเป็น นั่นคือ
การแทรกแซงองค์กรอิสระ
และติดตามดูความครบถ้วนของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
ซึ่งทั้งหมดไม่น่าจะใช้เวลายาวนาน
ส่วนการสนับสนุนการเมืองภาคพลเมืองนั้น นพ.พลเดช
เสนอกลไกที่จะช่วยเสริมความเข้มแข็ง 2 กลไก คือ 1.
กองทุนเพื่อการทำงานเรื่องความโปร่งใสที่จะสนับสนุนสื่อมวลชนในการนำเสนอข่าวเชิงสืบสวนสอบสวน
สนับสนุนภาคประชาชนให้มีส่วนร่วมจับตาคอร์รัปชั่น
โดยควรตั้งเป็นองค์กรมหาชน และงบประมาณควรมาจากการหัก 1%
จากวงเงินงบประมาณของโครงการขนาดใหญ่ 100 ล้านบาทขึ้นไป
2.กองทุนเพื่อพัฒนาการเมืองของประชาชน มีลักษณะคล้ายกับ กป.อพช.
เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนรวมกลุ่มพึ่งตนเอง
สนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมจัดกระบวนการนโยบายสาธารณะทั้งระดับท้องถิ่น-ระดับชาติ
สนับสนุนให้ประชาชนตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ
สนับสนุนให้ประชาชนรวมตัวเสนอกฎหมาย แก้ไขกฎหมาย
“ถ้าได้ปีละ 1,000 ล้าน ทำ 5 ปีติดต่อกัน
เชื่อว่าจะได้ดุลกับการเมืองแบบตัวแทนได้
จากต้นทุนที่มีอยู่ทั้งหมดตอนนี้”
ไสว บุญมา อดีตนักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารโลก กล่าวว่า 5
ปีที่ผ่านมาวิธีคิดแบบทักษิณ คือ การรวยให้เร็วที่สุด
และการคอยขอนั้นได้ฝังตัวในสังคมไทยอย่างแน่นหนา
โดยที่การเมืองแบบนี้วิวัฒนาการมานานแล้วตั้งแต่รัฐไทยพัฒนาเศรษฐกิจตามกระแสหลักมา
50 ปี ไม่ใช่เพิ่งเกิดเพราะตัว พ.ต.ท.ทักษิณ คนเดียว
ซึ่งทั้งหมดนี้สร้างปัญหาใหญ่ 4 ข้อ คือ 1. การรังแกสิ่งแวดล้อม 2.
การไม่รู้ว่าบทบาทของไทยควรตรงไหน จะอยู่กับมหาอำนาจอย่างไร 3.
ความร่ำรวยกลายเป็นธรรมะ 4. ไม่มีฐานคิดของตัวเองที่แท้จริง
“ผมมองว่าหากหลัง 2 เมษายน
ถ้าทักษิณลงจากตำแหน่งแล้วไปชักใยอยู่เบื้องหลัง
ยิ่งจะลำบากและยากกว่าเดิม เพราะมันมองไม่เห็น ส่วนหลังไล่ทักษิณแล้ว
เราจะทำอย่างไรกัน นี่ก็ยังมองไม่เห็นชัดเจนเช่นกัน หลังปี 2535 ยังดี
ยังได้รัฐธรรมนูญที่ใกล้เคียงอุดมการณ์” ไสว กล่าว
Post Thaksin เราอยากเห็นสังคมการเมืองไทยเป็นอย่างไร
ภาคประชาชนควรทำอะไรกันบ้าง คิดออกแล้วแสดงความเห็นโดยพลัน
ท่านผู้อ่านประชาไท !!!
</p>
ไม่มีความเห็น