Mindset โปรแกรมความคิด


จงทุบหมอข้าวแล้วไปตีเมืองให้ได้ จากความสำเร็จเล็กๆ ในแต่ละครั้งมันจะกลายเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่หากเราทำได้ต่อเนื่อง

วันนี้เป็นวันสุดท้ายของเดือนตุลาคม 2551 เวลากำลังจะผ่านพ้นไปอีกเดือน ผมเคยบอกกับตัวเองว่าอย่างน้อยน่าจะเขียน blog ถ่ายทอดความรู้ของเราเดือนละครั้ง แม้มันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องทำ ทำแล้วก็ไม่ได้เงิน ไม่ได้มีคนสรรเสริญ แต่มันก็มีความสุขที่ได้เขียน เพราะผมได้ตั้ง Mindset เอาไว้

สำหรับคำว่า Mindset ในที่นี้ไม่ใช่โปรแกรมคอมพิวเตอร์ แต่เป็นการจัดลำดับความคิดของเราด้วยตัวของเราเอง มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่วิเศษที่สุด นอกจากขอบเขตจำกัดทางกายภาพ (physical) ในมโนภาพ (mental) ของเราทุกคนสามารถทำอะไรก็ได้ เป็นอะไรก็ได้ และในบางครั้งมันจะยังส่งพลังกลับมาทำลายข้อจำกัดทางกายภาพได้อีกด้วย หากนึกภาพไม่ออก ลองนึกถึงหนังเรื่อง The Matrix สิครับ ที่พระเอกดูเหมือนจะอ่อนแอในโลกแห่งความเป็นจริง แต่เขาคือ The one ผู้มาปลดปล่อยผู้คนให้หลุดพ้นจากการครอบงำของเครื่องจักร

Neo

ภาพจาก www.ew.com


ก่อนที่จะไปไกล ผมมีตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ จากตัวผมเองมาเล่าให้ฟังครับ ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ผมไปเล่นเกมรถแข่งเกมหนึ่งซึ่งสนุกมาก (ขอย้ำว่าสนุกมาก) เพราะให้ความรู้สึกเร็วและแรงจริง วันนั้นจำได้ว่าผมขับไปได้ไกล ผ่านไปหลายโค้ง แต่เมื่อเห็นเวลานับถอยหลัง 9,8,7,6 ก็ตัดใจ คงไม่ถึงเส้นต่อเวลาแน่นอน เมื่อคิดแบบนั้นจึงไม่ได้เหยียบคันเร่งต่อ ปล่อยรถไหลไปเอื่อยๆ แต่เมื่อเวลาถึง 2,1 รถพ้นหัวโค้งมากลับเห็นเส้นชัยอยู่ตรงหน้า มันช้าไปเสียแล้วครับที่จะมาพยายามเอาตอนนี้เพราะเวลามันได้กลายเป็น 0 ไปเสียแล้ว
หลังจากนั้นมา ผมเรียนรู้ว่าถ้าเล่นเกมนี้ ผมต้องเหยียบคันเร่งอย่าปล่อยจนเห็นตัวเลข 0 เพราะเส้นชัยอาจจะไม่ไกลอย่างที่คิด
แต่... ในชีวิตจริง บางครั้งผมกลับลืมบทเรียนจากเกมรถแข่งเกมนี้ไปซะได้

จากตัวอย่างดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ความคิดเป็นส่วนสำคัญหนึ่งในการกำหนดชีวิตของเรา ถ้าคิดว่าทำได้ เราอาจจะทำได้ แต่หากคิดว่าทำไม่ได้ เราทำไม่ได้แน่ๆ ถ้าใครเคยคิดท้อแท้ว่าเราทำโน่นไม่ได้ทำนี่ไม่ได้ ผมเดาได้เลยว่าลงท้ายคงไม่พ้นทำไม่ได้จริงๆ ในทางกลับกันถ้าใครเคยเห็นคนที่สู้สุดใจขายดิ้นจนหยดสุดท้าย ถึงไม่รู้ว่าผลจะเป็นเช่นไร แต่แค่เรามองดูเขาก็รู้สึกนับถือในความพยายามแล้วใช่ไหมครับ

ในเดือนตุลาคมที่กำลังจะผ่านไปนี้บทเรียนเรื่อง mindset กลับมาย้ำเตือนผมอีกครั้ง ด้วยเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาเป็นลำดับ 5 เรื่อง

1. คำพูดของเพื่อนคนหนึ่งที่เค้าบอกกับอาจารย์ในตอน Present ว่า "ต้องชนะให้ได้" ฟังดูก็ไม่มีอะไร มันผ่านเข้าหู และก็นึกในใจว่า "อืมมม"

2. น้อง part-time คนหนึ่งบอกเลิกไม่ช่วยงานผมต่อแล้ว และให้เหตุผลว่า "ไม่มีเวลาพอ" ผมก็เข้าใจว่างานที่ให้มันยาก แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของเพื่อนในข้อ 1. ทำให้รู้สึกว่า ถ้าน้องเค้าถอดใจแล้ว ยื้อต่อไปก็คงจะไม่ได้ผลงานที่ดีออกมา

3. ส่วนน้องอีกคนในอีกออฟฟิศบอกว่า "งานเดือนนี้ไม่ทันแล้ว ไว้เดือนหน้าก็ได้นะ" เมื่อประกอบกับเหตุการณ์ในข้อ 1. และข้อ 2. ทำให้ยิ่งรู้สึกว่า ความคิดเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของคนเราจริงๆ ผมเชื่อว่าเพื่อนของผมต้องทำงานที่ค้างไว้ให้เสร็จได้ และก็เชื่อว่าน้องที่บอกเลิกงานไป หากเพราะต้องการหนี เขาคงต้องหนีต่อไปเรื่อยๆ และสำหรับน้องที่บอกว่างานไม่ทัน เดือนหน้าก็คงจะทำไม่ทันอีก มันเป็นความเหมือนที่แตกต่างกันบนฐานความคิดของแต่ละคน ผมไม่โทษว่าใครผิดเพราะทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคิดอะไรก็ได้ แต่เราอยากจะอยู่กับความคิดแบบไหนหละ

4. มีเพื่อนคนหนึ่งเล่าถึงการ์ตูนชื่อ อะคิงามิ ซึ่งมีโครงเรื่องพูดถึง "การรู้การตายล่วงหน้า 24 ชั่วโมง" และเล่าว่าตัวการ์ตูนแต่ละตัวได้ใช้เวลาที่เหลืออยู่ทำอะไร จุดนี้ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าถ้าพรุ่งนี้ผมต้องตาย ผมจะไม่ยอมให้งานที่ค้างอยู่นี้ไม่เสร็จค้างต่อไป ผมจะไม่ยอมให้ความฝันที่กำลังสร้างหายไป ผมจะไม่ยอมอยู่เฉยๆ และหายไปกับพื้นดินโดยที่ยังไม่ได้ทำสิ่งที่อยากจะทำอย่างสุดความสามารถ

5. พี่ที่ทำงานเก่า คุยเรื่อง business model ว่า คุณอย่าวางแผนทำวันนี้สำเร็จวันหน้า คุณต้องวางแผนทำวันนี้สำเร็จวันนี้ ถ้าคุณบอกวันนี้ไม่สำเร็จไม่เป็นไร อีกปีคุณก็จะบอกตัวคุณเองอีกว่าไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร คุณเข้าใจที่พี่พูดไหม?

ครับ... ทั้งหมดเป็นเรื่องของ mindset ที่มีเวลาเข้ามากำกับ เพราะมนุษย์เราผูกผันอยู่กับเวลาทุกจังหวะชีวิต หากเพิ่งจะปล่อยให้ความคิดครอบงำเรา หรือเราจะเป็นคนกำหนดความคิด ความสำเร็จจะเริ่มต้นจากความคิดที่เราอยากจะทำสำเร็จ ในการทำวิทยานิพนธ์ก็เช่นกัน อาจารย์เคยสอนให้คิด SMART (Specific, Measurable, Attainable, Realistic, Time bound) มันฟังเข้าใจง่ายครับ ก็แค่คิดให้เจาะจง วัดได้ ทำได้ เป็นไปได้ ในขอบเขตเวลาที่จำกัด แต่จะมีสักกี่คนที่ทำได้ตลอดรอดฝั่ง ผมได้เรียนรู้ว่าการเรียนปริญญาเอกไม่ได้สอนวิชาการผม ผมไม่ได้รู้อะไรเพิ่มขึ้นในเชิงกว้าง (horizontal) แต่มันสอนให้เรารู้จักสู้กับตัวเอง การหมกหมุ่นเพื่อสร้างความพยายาม ปรับ mindset ของตนให้ได้ อาจารย์อีกท่านก็ยังบอกอีกว่าให้นึกเหมือนพระเจ้าตาก อย่าคิดว่าสอบครั้งนี้ไม่ผ่านก็มีครั้งหน้า จงทุบหมอข้าวแล้วไปตีเมืองให้ได้ จากความสำเร็จเล็กๆ ในแต่ละครั้งมันจะกลายเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่หากเราทำได้ต่อเนื่อง ในชีวิตประจำวันก็เช่นกัน งานแต่ละชิ้นเรามีทางเลือกว่าจะทำให้ดีหรือทำให้เสร็จ ผมว่าทั้งหมดมันคือเรื่องของความคิด แล้วคุณหละคิดอย่างไร How do u think?

หมายเลขบันทึก: 219952เขียนเมื่อ 31 ตุลาคม 2008 11:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน 2012 09:14 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

 มุมั่นในสิ่งที่ทำ ทำให้เต็มความสามารถ ความสำเร็จอาจมีหรือไม่มีก็ได้ อาจท้อบ้าง แต่ถอยไม่ได้ เพียงหยุดคิดสักพัก แค่พอเรียกใจคืนก็พอ...แค่เราหยุด เราก็ถอยหลังแล้ว

  • อ่านแล้วอดยิ้มไม่ได้ค่ะ
  • จัดระเบียบความคิด อิอิ ยังทำไม่ใคร่จะได้เลยค่ะ
  • ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ นะคะ

"จิตสั่งกาย"

บางวันรู้สึกขี้เกียจ เราก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะแค่คิดก็ขี้เกียจจะตายอยู่แล้ว

แต่บางวันอยากทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ ถึงไม่ได้นอนสามวันสามคืนมันก็มีความสุข ...เมื่อเราได้ทำ

ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับ mindset รึเปล่านะครับ? ^^

ครับ คุณ morisawa
หยุดเท่ากับถอยหลัง แต่บางครั้งปล่อยวางสักนิดก็ดีเหมือนกันนะครับ

คุณ gibbo
ตามนั้นเลยครับ "จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว"

ขอบคุณ คุณ เพ็ญศรี(นก) และ คุณ จารุวัจน์ ที่แวะเข้ามาเยี่ยมกันครับ

เรียนจิตวิทยาคลินิกและชุมชน อ.สอนเรื่อง mind set ทึ่งมาก รู้สึกชอบ เออมนุษย์ ตั้งmind set ไว้มากมายในชีวิต สรุปก็คือ จิตสามารถสร้างสรรค์ทุกสิ่งอย่างในโลก ถ้าเราเปลี่ยน mind set ได้ พฤติกรรมต่างๆ ในตัวก็จะเปลี่ยนตามเช่นกัน

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท