จากบันทึกที่ดิฉันเขียนไว้ชื่อว่า "Journal Impact Factors ไม่เหมาะสำหรับประเมินคุณภาพงานวิจัย" ดิฉันอยากเพิ่มเติมเพื่อตอบข้อคิดเห็นต่างๆ ที่หลายท่านได้ให้ไว้ในบันทึกดังนี้นะคะ
ดิฉันมองเรื่อง การประเมินคุณภาพงานวิจัย เป็นเรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่ง เป็น Critical success factor ตัวหนึ่ง สำหรับการจัดการความรู้เพื่อเพิ่มคุณภาพงานวิจัย
ประเด็นในจุดนี้ ถ้าให้ดิฉันมองในภาพของเกณฑ์การประเมิน 1-5 ในตารางอิสรภาพ ดิฉันมองว่าอาจจะเป็นเพียงแค่ 1 เท่านั้นคะ โดยมองจากประสบการณ์ที่มีมา 2 ประเด็นหลักๆ คะ
ประเด็นแรก เวลาเขียนเสนอทุนวิจัย ในแบบฟอร์มมักจะให้เขียน Journal impact factor เป็นหลัก ไม่มีเกณฑ์มาตรฐานอื่นใด แสดงว่าทางเจ้าของทุนวิจัยให้ความสำคัญกับการประเมินคุณภาพงานวิจัยในเบื้องต้นอยู่บ้าง แต่อาจยังไม่เข้าใจถึงข้อเสียของ Journal impact factor
ประเด็นที่สอง เวลาประเมินค่า KPI ในการปฏิบัติงานราชการ การให้คะแนนในส่วนงานผลงานตีพิมพ์ลงวารสารทางวิชาการนานาชาตินั้น ไม่มีเกณฑ์อะไรวัดเลย แค่ได้ชื่อว่าตีพิมพ์วารสารนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็นแบบตีพิมพ์ง่ายๆ หรือ ตีพิมพ์ยากๆ ก็จะได้คะแนนเท่ากันหมด อันนี้คือ ไม่มีเกณฑ์การประเมินคุณภาพงานวิจัยใดๆ เลย
ดิฉันมองว่า หากเราทำการจัดการความรู้ด้านงานวิจัยอย่างแท้จริงสักครั้งหนึ่ง เราน่าจะได้ Tacit knowledge ด้านการประเมินคุณภาพงานวิจัยได้แน่ๆ คะ
ดิฉันว่า ถึงเวลาที่เราต้องจัดการความรู้ด้านการผลิตงานวิจัยแล้วคะ
หัวปลาไม่ได้หลุดไปจากที่เราเคยเข้าอบรมเชิงปฏิบัติการกับ สคส. เลยคะ
คือ เราต้องการเพิ่มคุณภาพงานวิจัย นั่นเอง (ดิฉันเน้นว่า คุณภาพนะคะ
ไม่ใช่ปริมาณ)
ดิฉันไฝ่รู้อยากได้ฟังเรื่องเล่าเร้าพลัง (Storytelling) จากนักวิจัยอาวุโสหลายๆ ท่านคะ ความรู้ฝังลึกที่แต่ละท่านมีนั้น ถ้าไม่ถ่ายทอดออกมาและไม่ได้ถูก share ก็น่าเสียดายนะคะ
อยากวิจัยเกี่ยวกับงานคุ้มครองผู้บริโภค แต่ไม่รู้จะเริ่มจากที่ไหน ตรงไหน อย่างไร
ขอคำแนะนำด้วยค่ะ
อยากวิจัยเกี่ยวกับงานคุ้มครองผู้บริโภค แต่ไม่รู้จะเริ่มจากที่ไหน ตรงไหน อย่างไร
ขอคำแนะนำด้วยค่ะ
อยากวิจัยเกี่ยวกับงานคุ้มครองผู้บริโภค แต่ไม่รู้จะเริ่มจากที่ไหน ตรงไหน อย่างไร
ขอคำแนะนำด้วยค่ะ
แวะมาเยี่ยมเยือนงานทางด้านวิจัย เพื่อเก็บข้อมูลให้รู้จักไว้บ้างนะครับ