เมื่อวานนั่งทานข้าวกลางวันกับท่านพัฒนากรอำเภอและคุณหมอโรงพยาบาลชุมชน ท่านหนึ่ง ประเด็นหนึ่งที่คุยกัน เป็นเรื่อง "การรวมกลุ่มจัดการองค์ความรู้ อ. ปางมะผ้า" สืบเนื่องจาก การประชุมเชิงปฏิบัติการยกระดับรายได้ครัวเรือน ยากจน ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง อ.ปางมะผ้าที่ผ่านมา งานนี้ผมมีโอกาสได้เข้าร่วมทำงานเป็นทีมวิทยากร ได้พบเจอวิทยากรจากหลากหลายหน่วยงาน ที่มาร่วมกันทำงานในครั้งนี้ ทุกวันหลังจากที่ได้ทำกระบวนการกับชาวบ้านกลุ่มเป้าหมายมาแล้ว ได้มีการทำกระบวนการ วิเคราะห์ผลหลังการปฏิบัติการ AAR. (after action review) ของวิทยากร เพื่อสรุปผลการทำงานใน หนึ่งวันด้วยกันทุกวัน บรรยากาศการ สนทนา แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ภายในเวที วิเคราะห์ผลหลังการปฏิบัติการ สนุก สนานและทุกคนได้แสดงศักยภาพ และพร้อมที่จะรับฟังซึ่งกันและกัน บรรยากาศแบบนี้เป็นทางก้าวไปสู่ "สุนทรียสนทนา" ให้ทุกคนที่เข้าร่วมอิ่มเอม และมีกำลังใจในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ยอมรับซึ่งกันและกันมากขึ้น
จนกระทั่งถึงวันสุดท้าย ท่านนายอำเภอและพัฒนากร ได้กล่าวถึง การรวมกลุ่มคนที่มีใจ ในการร่วมกันพัฒนาอำเภอ โดยให้แนวคิดว่า อยากจะให้มีเวทีเล็กๆ ที่จัดขึ้น ทุกเดือน เพื่อเป็นเวทีที่คนทำงานเพื่อสังคม ไม่ว่าจะเป็นใคร และหน่วยงานใด มาร่วมกันพูดคุย ประเด็นที่สนใจร่วมกัน เป็นเวทีเล็กๆง่ายๆเป็นธรรมชาติ หรือ อาจทานข้าวร่วมกัน
แนวคิดที่คุยกันวันนั้น เรามานั่งปรึกษากันอีกครั้งในวันนี้ อยากให้เกิดกลุ่มคนทำงานแบบนี้มานานแล้ว หากว่า การรวมกลุ่มแบบนี้มันสามารถเคลื่อนได้ ก็หมายความว่า การจัดการความรู้อำเภอปางมะผ้า เริ่มเด่นชัดขึ้นทุกที
เรื่องของ กระบวนการเป็นเรื่องที่พวกเรา ต้องมาช่วยกันคิดต่อ ท่านผู้รู้ทั้งหลาย กรุณาให้ข้อ ชี้แนะ เสนอแนวทางในการเริ่มต้นด้วย ซึ่งถือว่า ประเด็นที่ได้ จะนำมาประยุกต์ใช้ในพื้นที่อำเภอปางมะผ้าต่อไป
ช่วยร่วมกันแลกเปลี่ยน เรียนรู้นะครับ
เป็นกำลังใจครับ อยากเห็นเป็นรูปแบบตัวอย่างได้ครับ ครั้งหนึ่งตอนอยู่ สสอ.บางแก้ว ได้เนินการในลักษณะนี้ เดือนละครั้ง ส่วนราชการผลัดกันเป็นเจ้าภาพที่ สนง.ตัวเอง เลี้ยงน้ำชา กาแฟ หรือไมโล มีพระ-ครู-หมอ-เกษตร ฯลฯ พูดคุยกันอย่างไม่เป็นทางการ
แต่ไม่สำเร็จครับ ได้ประมาณ 2 เดือนผมย้าย นายอำเภอย้าย และอีกหลาย ๆ ท่านที่เป็นแกนหลัก ย้ายไป ในช่วง 3-4 เดือนหลังจากนั้น เสียดายมาก ตอนนี้ได้ข่าวว่าจะรื้อขึ้นมาดำเนินอีก จึงคิดว่าหากเป็นไปได้จะดีมาก รับรองว่าดีแน่ ๆ
แต่ก็มองอย่างเป็นกลาง ๆ ว่า ขอให้เป็นไปตามธรรมชาติ จะได้มีความสุขในการทำงาน
คุณปอม
น่าสนใจ บอกผมหน่อยครับผมก็อยากรู้นะ ผมจะได้นำไปเป็นข้อมูลเล่าใน สภากาแฟผมไง แต่ผมคิดว่า พระ-ครู-หมอ ที่บ้านผมคิดว่าน่าจะ คุยกันรู้เรื่องครับ
คุณชายขอบ
ประเด็นหนึ่งที่คิดไว้ก็เหมือนกับคุณชายขอบโพสหละครับ ผมกลัวว่า หลายๆคนที่เป็นแกนหลักๆย้าย ก็คิดกันต่อว่า สร้างคนใหม่ๆ สานต่อ ครับ ก็ให้เป็นไปตามธรรมชาติครับ ผมวาแบบนี้น่าจะดีที่สุด "ธรรมชาติของกลุ่มเองก็เป็นการวิจัย อย่างหนึ่ง กลุ่มจะตั้งอยู่ หรือกลุ่มจะล่มสลาย ก็ไม่แปลกใจ เป็นธรรมชาติ แต่สิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้จากปรากฏการณ์อย่างนี้ ก็คือ บทเรียน ครับ เชื่อว่า ครั้งที่สองดีกว่าครั้งแรกเสมอครับ (หรือไม่แน่)"
ผมคิดตาม Comment ล่าสุดของคุณชายขอบครับ
เห็นด้วยอย่างยิ่งกับ การคงสภาพ "แกนนำหลัก" และจะสร้าง "อิทธิพล"และ "ครอบงำ" ในวาระต่อไป ผมคิดว่าจังหวะต่อไป คงจะมีการคิดกันเหมือนกันว่า "ความพอดี มีจังหวะจะโคน" น่าเป็นจุดตรงไหน
ขอบคุณ ข้อเสนอแนะ ดีๆอีกครั้งครับ
จตุพร
เมื่อวาน Internetที่บ้านใช้การไม่ได้ก็เลยเพิ่งได้เปิดดูวันนี้...ขอโทษด้วยนะคะที่ตอบช้าไป
ที่บอกว่ามีอยู่ 3 อาชีพที่ค่อนข้างจะพูดยากคือพระ-ครู-หมอเหตุผลที่พูดกันไม่ค่อยรู้เรื่องก็เพราะว่า
พระ: จะบอกว่าอาตมารู้แล้ว(อย่ามาเถียง...อาตมาเป็นพระใครจะมารู้ดีกว่า...ญาติโยมต้องฟังพระเทศน์)
ครู:จะบอกว่าครูเป็นผู้ให้ความรู้(รู้ทุกเรื่อง ทุกวิชา...เพราะฉะนั้นอย่ามาสอนครู)
หมอ:จะถือว่าตัวเองเรียนเก่ง...จึงไม่ค่อยฟังใคร(คนอื่นไม่ฉลาดเท่าตัวเอง)
ดังนั้นเมื่อเอาแต่ละอาชีพมารวมกันเช่น พระที่เป็นครูหรือพระครู...ก็ยิ่งบอกกล่าวอะไรไม่ได้เลย...ครูที่เป็นหมอหรือ..อาจารย์หมอ...ก็ยิ่งไปกันใหญ่อีก...ไม่ฟังใคร สุดท้ายก็คือพระที่เป็นหมอ...ก็ยิ่งหนักเข้าไปอีกกลายเป็นผู้วิเศษดังที่เห็นกันอยู่ตามหน้าหนังสือพิมพ์...เ็ป็นเรื่องเล่าสนุกๆนะคะ...ห้ามซีเรียสนะคะ