เงินคงคลัง : อยู่ในภาวะขาดสภาพคล่องที่รุนแรง
ท่ามกลางกระแสความร้อนแรงทางการเมืองที่เพิ่มมากขึ้น
ก็คงยังต้องลุ้นกันต่อไปว่าจะมีการเลือกตั้งหรือไม่
หรือแม้ว่าจะมีเลือกตั้งในวันที่ 2
เมษายนนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร
และจะมีเหตุการณ์ไม่สงบเกิดขึ้นหรือไม่
นับตั้งแต่สามารถประกาศผลการเลือกตั้ง
และมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ครบ 500 คน ภายในระยะเวลา 30 วันหรือไม่
และถ้าหากไม่สามารถประกาศผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ครบ
500 คนแล้วจะเกิดอะไรขึ้น และแม้ว่าจะเปิดรัฐสภาได้
รัฐบาลและรัฐสภาภายหลังการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นอย่างไร
แต่ถ้าหากมีการเลือกตั้งไปแล้วยังมีความวุ่นวายหรือวิกฤตการณ์ที่ตามมาก็เป็นที่น่าเสียดายเงินค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งประมาณ
2,200 ล้านบาท
และถ้าหากจะต้องมีการเลือกตั้งซ่อมแล้วค่าใช้จ่ายก็จะบานปลายขึ้นไปอีก
การคัดค้านการเลือกตั้งของพรรคฝ่ายค้าน
และสมาพันธ์ประชาธิปไตยมาจากความคิดเห็นที่ว่าการเลือกตั้งที่ไม่ได้มีการปฏิรูปการเมืองเสียก่อน
ทำให้การเลือกตั้งในครั้งนี้จะเป็นไปโดยบริสุทธิ์ยุติธรรม
และยังมีข้อกังขาถึงบทบาทของคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าจะมีความเป็นกลางในการกำกับดูแลการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยเที่ยงธรรมหรือไม่
ดังนั้น ถ้าหากมีการเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม นี้
เป็นหน้าที่ของประชาชนไทยที่ควรจะไป
ออกเสียงเลือกตั้ง ซึ่งมีทางเลือกได้ทั้งการเลือกพรรคที่เราชอบ
หรือไม่เลือกผู้สมัครพรรคใดเลย ก็จะเป็นการ
แสดงถึงเจตจำนงในการเลือกตั้ง
การไปออกเสียงเลือกตั้งนอกจากจะเป็นการแสดงออกถึงความเห็นต่อการเลือกตั้งแล้ว
ยังจะเป็นการปิดโอกาสของการโกงการเลือกตั้งได้ประการหนึ่ง
เพราะถ้าหากคนไม่ลงเลือกตั้ง
ก็อาจจะมีผู้ใช้สวมรอยในการใช้สิทธิการเลือกตั้งแทนท่าน
ข่าวคราวทางเศรษฐกิจต่าง ๆ
ในช่วงนี้จึงถูกกลบไปด้วยข่าวคราวทางการเมืองแต่ก็มีข่าวหนึ่งที่ได้รับความสนใจมาก
คือ
ฐานะการคลังของภาครัฐที่มีการออกมายอมรับกันว่าฐานะเงินคงคลังของรัฐบาลเหลืออยู่ประมาณ
40,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นเงินสำหรับเพียงพอต่อการใช้จ่ายเพียง 14
วัน ทั้งนี้ทางกระทรวงการคลัง ออกมายอมรับว่า ตั้งแต่ต้นปีนี้
(ม.ค.-มี.ค.) กระแสเงินสดของรายจ่ายอยู่ที่ 6,600 ล้านบาทต่อวัน
ขณะที่รายรับอยู่ที่ 5,800 ล้านบาทต่อวัน
ทำให้กระแสเงินสดติดลบอยู่ประมาณ 800 บาทต่อวัน
จึงทำให้เงินคงคลังลดลงมาตามลำดับ
กระแสข่าวปัญหาฐานะการคลังนี้ได้ยินมาตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา
ที่มีข่าวคราวทำนองว่ารัฐบาลถังแตกและฐานะเงินคงคลังลดลงเหลือประมาณ
70,000 ล้านบาท และข่าวที่ติดตามมาคือ มติคณะรัฐมนตรี
ที่ให้รัฐบาลออกตั๋วเงินคลัง
(คือ การกู้ยืมเงินระยะสั้นที่มีอายุต่ำกว่า 1 ปี) เพิ่มเติมได้อีก
80,000 ล้านบาท
การที่จะแปลงหนี้ระยะสั้นในส่วนของตั๋วเงินคลังให้เป็นหนี้ระยะยาว
ซึ่งการแปลงหนี้ระยะสั้นให้เป็นหนี้ระยะยาวนี้จะทำให้รัฐบาลสามารถก่อหนี้ระยะสั้นเพิ่มเติมขึ้นอีกจากเพดานการก่อหนี้ระยะที่มีอยู่จำนวน
250,000 ล้านบาท
ภาวะความตึงตัวของกระแสเงินสดของภาครัฐนี้จะเห็นได้จากจะมีการขยายอายุตั๋วเงินคลังที่รัฐบาลกู้จากธนาคารออมสินจำนวน
5,000 ล้านบาท ที่จะครบกำหนดในเดือนเมษายนนี้ออกไป
สำหรับทางด้านรายจ่ายนั้นแม้รัฐบาลจะแถลงว่า
ไม่มีปัญหาแต่ก็ยอมรับว่าการเบิกจ่ายเงินอาจจะมีความล่าช้าออกไปอีกจากเดิม
1-3 วัน เป็น 3-7 วัน
ในส่วนนี้คนภายนอกคงจะไม่ทราบว่ามีความล่าช้าหรือไม่
แต่หน่วยงานภาครัฐ
และธุรกิจที่ติดต่องานกับภาครัฐคงจะรู้ดีแก่ใจว่าการเบิกจ่ายเงินมีความล่าช้าเพียงใด
สถานะเงินคงคลังจำนวน 40,000 ล้านบาท
นั้นคิดเป็นจำนวนวันใช้จ่ายได้เพียง ประมาณ 6 วันไม่ใช่ 14 วัน
ตามข้อมูลของกระทรวงการคลัง
ระดับเงินคงคลังดังกล่าวเป็นเกณฑ์ต่ำที่น่าเป็นห่วง
แม้จะไม่มีกำหนดโดยกฎหมายว่าจะเป็นจำนวนเท่าไร
แต่ลองคิดถึงสภาพเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่โดยปกติ
ธนาคารแห่งประเทศไทยจะรักษาไว้ที่ระดับไม่ต่ำกว่ามูลค่าการนำเข้าสินค้า
และบริการจำนวน 3 เดือน หรือเงินฝากออมทรัพย์ของครอบครัว
ที่ควรจะมีสำรองไว้จำนวนประมาณอย่างต่ำ 3 เดือนด้วยเช่นกันแล้ว
ฐานะเงินคงคลังระดับดังกล่าวจึงถึงจุด
ที่น่าห่วงใยประการหนึ่ง
โดยเฉพาะในกรณีที่คาดการณ์กันว่าเศรษฐกิจในปีนี้
อาจเติบโตต่ำกว่าเป้าหมายร้อยละ 5
ที่ตั้งไว้ที่มีความเป็นไปได้ว่ารายได้ของภาครัฐจะต่ำกว่าเป้าหมาย
และนำไปสู่การการขาดดุลการคลังได้
กรุงเทพธุรกิจ 29 มีนาคม
2549
คำสำคัญ (Tags): #uncategorized หมายเลขบันทึก: 21717เขียนเมื่อ 30 มีนาคม 2006 11:40 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 เมษายน 2012 14:25 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (0)
ไม่มีความเห็น