น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กำชับนาย ทนง พิทยะ รมว.คลัง
ผ่านวีดิโอคอนเฟอเรนซ์ จาก จ.เชียงใหม่ ให้ดูแลเงินคงคลังอย่างใกล้ชิด
และบริหารการเบิกจ่ายเงินอย่างมีประสิทธิภาพ
รวมถึงตรวจสอบการใช้จ่ายเงิน ของส่วนราชการทุกแห่งว่า
มีหน่วยงานใดเบิกจ่ายเงินแล้วนำไปฝากสถาบันการเงินกินดอกเบี้ย
หากตรวจพบส่วนราชการใดกระทำการดังกล่าว
ผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานจะต้องรับผิดชอบ
เพราะเป็นการปฏิบัติหน้าที่ไม่เหมาะสม
นำเงินภาษีของประชาชนไปใช้ในสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ต่อประเทศ
ทั้งนี้ ครม.
ไม่ได้แสดงความเป็นห่วงเกี่ยวกับปัญหาเงินสดขาดมือแต่อย่างใด
เพราะถือเป็นเรื่องปกติของต้นปีงบประมาณหรือช่วงเดือน
ต.ค.2548-มี.ค.2549 ที่มีการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณจำนวนมาก
และในช่วงปลายเดือน
มิ.ย.ก็จะมีเงินรายได้จากภาษีเงินได้ก็จะทำให้เงินคงคลังกลับสู่ภาวะปกติ
นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม.
เห็นชอบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะปีงบประมาณ 2549
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอโดยขยายเวลาตั๋วสัญญาใช้เงินจากธนาคารออมสิน
5,000 ล้านบาท ที่จะครบกำหนดคืนวันที่ 26 เม.ย. 2549 ออกไปก่อน
เพื่อรักษาระดับเงินสดให้เพียงพอกับการเบิกจ่ายงบประมาณ
เนื่องจากระหว่างเดือน เม.ย.-พ.ค.นี้
คาดว่าจะมีการเบิกจ่าย
ในอัตราที่สูง ในขณะที่รายได้จากภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปี
จะนำส่งคลังได้ในสัปดาห์แรกของเดือน มิ.ย.
จึงทำให้เงินคงคลังไม่เพียงพอที่จะรองรับการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาล
“การขยายเวลาชำระคืนออกไปจะทำให้วงเงินรวมภายใต้แผนการบริหาร
และจัดการเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นจาก 260,000
ล้านบาท เป็น 265,000 ล้านบาท แต่ก็จะทำให้การบริหารเงินสดรับ
และจ่ายของรัฐบาลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
และทันการณ์มากยิ่งขึ้น”
นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม.
ยังเห็นชอบการปรับปรุงวิธีการบริหารจัดการหนี้ต่างประเทศของรัฐบาล
132,000 ล้านบาท และรัฐวิสาหกิจ 193,000 ล้านบาท
จากเดิมหากหน่วยงานใดต้องการทำการปรับโครงสร้างทางการเงิน (Refinance)
การยืดระยะเวลาการไถ่ถอน (Roll Over) การสว็อป และการจ่ายล่วงหน้า
(Prepayment) จะต้องรายงานและขออนุมัติจากที่ประชุม ครม. ก่อน
แต่เพื่อความคล่องตัวในการบริหารจัดการหนี้ต่างประเทศ
จึงเห็นชอบให้กระทรวงการคลัง
เลือกวิธีการที่เหมาะสมโดยคำนึงถึงต้นทุนในการบริหารจัดการด้านเงินที่ต่ำ
โดยยังอยู่วงเงินเดิม และไม่ต้องขออนุมัติจาก ครม. อีก
อย่างไรก็ตาม ครม.ยังเห็นชอบการเตรียมการจัดทำ
งบประมาณและปรับปฏิทินงบประมาณรายจ่ายปี 2550 ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
เนื่องจากมีการยุบสภา ผู้แทนราษฎร
และต้องมีการเลือกตั้งในวันที่ 2 เม.ย. นี้
ซึ่งส่งผลให้ขั้นตอนการเตรียมจัดทำ งบประมาณรายจ่ายปี 2550
ต้องล่าช้าออกไป โดยคาดว่า พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2550
จะผ่านการพิจารณาของรัฐสภาในเดือน พ.ย. ดังนั้นในช่วงเดือน ต.ค. 2549
ซึ่งเป็นปีงบประมาณ 2550 หน่วยงานราชการสามารถใช้เงินของปีงบประมาณ
2549 ไปก่อนเพราะยังมีเงินเหลืออยู่
ด้านนายทนง พิทยะ รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังจะไม่ขอ
ครม.เพื่อกู้เงินเพิ่มโดยการ
ออกตั๋วเงินคลัง เพื่อนำมาใช้บริหารสภาพคล่องอีก
เพราะยืนยันว่ากระทรวงการคลังมีเงินคงคลังที่เพียงพอกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน
จึงขอให้ประชาชนอย่าวิตกว่ากระทรวงการคลังจะเกิดการถังแตกแต่อย่างใด
แต่ส่วนราชการโดยเฉพาะกรมบัญชีกลางต้องบริหารสภาพคล่องที่มีอยู่ให้ดี
อย่าใจดีกับการเบิกจ่ายมากเกินไป
แต่ต้องบริหารจัดการให้ส่วนราชการเบิกเงิน
ไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
ขณะที่นายบุญศักดิ์ เจียมปรีชา
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า ได้หารือร่วมกับส่วนราชการและ
กองทุนนอกงบประมาณ เพื่อขอให้เบิกเงินงบประมาณไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่ใช่เบิกไปแล้วนำไปฝากธนาคารเพื่อรับดอกเบี้ย
เพราะงบประมาณยังไม่ถึงเวลาใช้จ่าย
โดยยืนยันว่าหากทุกส่วนราชการเบิกเงินงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ
และไม่นำเงินไปกองหรือฝากธนาคารไว้กินดอกเบี้ย ปัญหาเรื่องสภาพคล่อง
หรือการขาดดุลเงินสดในปีงบประมาณ 2550
จะมีปัญหาน้อยลงหรือไม่อาจไม่เกิดขึ้นเลย อย่างไรก็ตาม
ขอให้ทุกส่วนราชการและเอกชนมั่นใจได้ว่าจะได้รับเงินงบประมาณแน่ ๆ
ซึ่งขณะนี้กรมบัญชีกลางกำลังพิจารณาจัดสรรเงินให้
ตามลำดับความสำคัญของโครงการและความจำเป็นของส่วนราชการที่มีคณะกรรมการกลาง
ซึ่งประกอบด้วยกรมบัญชีกลาง, สำนักบริหารหนี้สาธารณะ,
สำนักงบประมาณและสำนักงานเศรษฐกิจการคลังหรือ สศค.
ได้พิจารณาร่วมกันอยู่แล้ว
โดยยืนยันว่าไม่ได้มีเงินค้างจ่ายที่ต้องจ่ายให้กับส่วนราชการนานถึง 6
เดือนแต่อย่างใด แต่ยอมรับว่าอาจมีค้างบ้าง
แต่ทุกส่วนราชการจะได้รับงบประมาณภายใน 3-7 วันแน่นอน
ไทยรัฐ 29 มีนาคม 2549