นานาเรื่องราวการจัดการความรู้
(๑๒)
การจัดการความรู้กรมอนามัย
จัดการความรู้ ย่างก้าวสู่การพัฒนาองค์กร
กรมอนามัยได้กำหนดวิสัยทัศน์ไว้ว่า
จะเป็นผู้นำหลักในการสร้างเสริมสุขภาพของประเทศ โดยมีพันธกิจ คือ
เป็นหน่วยงานหลักในการผลักดันให้เกิดการสนับสนุนให้การส่งเสริมสุขภาพประชาชน
โดยการผลิต ถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยี ตลอดจนสนับสนุน
ให้การส่งเสริมสุขภาพ เป็นไปตามมาตรฐาน
จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนาระบบบริการความรู้
ของกรมอนามัยให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้
จึงได้ออกแบบ
และวางกรอบการพัฒนาระบบบริหารความรู้
อันเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาระบบราชการ กรมอนามัยประกอบด้วย
1.ระบบและกลไกลการบริหารความรู้ และ 2. กิจกรรมการพัฒนาศักยภาพ
และสมรรถนะบุคลากรด้านต่างๆ
นพ. สมศักดิ์
ชุณหรัศมิ์ ประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบบริหารความรู้ กรมอนามัยกล่าวว่า
ตามแผนปฏิบัติการในการพัฒนาระบบความรู้ภายในองค์กร ปีงบประมาณ พ.ศ.
2548 กพร. พูดเรื่องการจัดการความรู้ขึ้นมา
หน่วยราชการก็เริ่มตื่นตัวเรื่องการบริหารองค์ความรู้ในองค์กรกันมากขึ้น
ซึ่ง กพร. เริ่มพูดเรื่องนี้ตั้งแต่ปี 2547 และก็กำหนดว่า
เป็นตัวชี้วัดอันหนึ่งว่า
ต้องมีการจัดทำแผนบริหารความรู้ของส่วนราชการ และให้เสนอนมาที่
สำนักงาน กพร. ประเมินผลการจัดการ ต่อเนื่องมาถึงปี 2548
ก็จะดูการปฏิบัติตามแผนที่เสนอไปเมื่อปี 2547 ที่ผ่านมา
ว่ามีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง
ขับเคลื่อนกระบวนการจัดการความรู้
กรมอนามัยจึงเริ่มมีการตั้งคณะทำงานของกรมอนามัยขึ้นมา
ทำงานเรื่องการบริหารองค์ความรู้ในองค์กร
ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ในตัวชี้วัดด้วยว่า ต้องมีคณะทำงาน
มีการจัดการความรู้และเริ่มทำงานกันตั้งแต่นั้นมา
และมีหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องร่วมทำด้วยกัน
คณะทำงานประกอบไปด้วย กพร. , กองแผนงาน , กองเจ้าหน้าที่ ฯลฯ
ซึ่งมีบทบาทหน้าที่แตกต่างกันไป มีทีมบริหารความรู้ ,
มีคณะสร้างเสริมกิจกรรมการจัดการความรู้ และหน่วยที่ช่วยอำนวยการ
ซึ่งทั้ง 3 ส่วนนี้มีการบริหารจัดการกันอยู่ในหน่วยงานอยู่แล้ว
แต่ยังเคลื่อนเรื่องกระบวนการจัดการความรู้ไปอย่างช้าๆ
โดยการดำเนินการจัดการความรู้มีการประชุมเชิงปฏิบัติ
กำหนดกรอบความคิดเบื้องต้นของกรมอนามัย ที่ประกอบไปด้วยคณะทำงานทั้ง 3
ฝ่ายนั้น คือ กิจกรรมที่มาจัดการความรู้มี 3 ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่
1. เป็นการจัดการความรู้ของบุคคลในหน่วยงานย่อย
(กองต่างๆ)ในกรมอนามัย ซึ่งเป้าหมายก็คือ
อยากให้พนักงานได้พัฒนางานที่ตนเองทำ
2. ตั้งเป้าหมายว่า
น่าจะมีการจัดการความรู้ในเรื่องการปฏิรูประบบราชการ
3. จัดทำคลังความรู้ข้อมูล (Data based) เพื่อประโยชน์
ทั้งในหน่วยงาน และบุคคลภายนอกหน่วยงานได้มาค้นคว้า หาความรู้
ซี่งกรมต่างๆ
ของหน่วยงานราชการมีนโยบายสารพัดอย่างอย่างที่จะทำให้หน่วยงานนั้นๆทำงานให้ดีขึ้น
มีกิจกรรมสารพัดประเภท ที่จะทำให้คนทำงานมีความรู้
และเก่งมากขึ้น
เพราะ
“การจัดการความรู้” เป็นแนวคิด
และกิจกรรมสำคัญที่กรมวิชาการอย่างกรมอนามัยจำเป็นจะต้องใช้ในฐานะเป็นหน่วยงานที่ต้องทำงานผ่านคนอื่น
หรือสนับสนุนกระตุ้นหน่วยงานอื่นให้ทำงานส่งเสริมสุขภาพ
โดยไม่ได้ทำเอง
และการจัดการความรู้ต้องมีทั้งการรู้จักนำความรู้ที่มีอยู่แล้ว
จากตำรา จากงานวิจัยมาใช้ประโยชน์(แลกเปลี่ยนเรียนรู้)
ให้เหมาะสมกับเป้าหมายงานที่ต้องการ
รวมทั้งรู้จักจัดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในส่วนของความรู้แฝง
และสกัดความรู้แฝงที่มีอยู่มาให้คนอื่นได้รับรู้และนำไปประยุกต์ใช้ประโยชน์และสร้างเป็นความรู้ชุดใหม่ต่อไป
พญ.นันทา อ่วมกุล
ผู้อำนวยการสำนักที่ปรึกษา คณะกรรมการพัฒนาระบบบริหารความรู้
กรมอนามัย กล่าวว่า หลังจากที่หมอสมศักดิ์ ดำเนินการเรื่อง Km แล้ว
ยังมี ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ผอ. สคส.
มาช่วยเรื่องการทำกระบวนการขับเคลื่อนการจัดการความรู้ ทำให้กรมอนามัย
ได้ทำงานเรื่องการจัดการความรู้ได้อย่างเข้าใจมากขึ้น
หลังจากนั้นก็พยายามประสานเข้าไปกับงานประจำของตัวเอง
“ช่วงนั้นสำนักส่งเสริมสุขภาพก็มีปัญหาเรื่อง
การตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตนเอง และก็เรื่องของการดูแลผู้สูงอายุ
และก็มาชวนคนที่ทำเรื่องมะเร็งเต้านมมาร่วมด้วย ซึ่งมีทั้ง อสม. ,
สสจ.ฯลฯ ซึ่งเป็นการประชุมที่เป็นที่พึงพอใจของทุกฝ่าย
เพราะทุกคนเห็นว่าตัวเองมีส่วนร่วม ไม่มีใครเป็นเจ้าของเวที
แต่ทุกคนสามารถมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ได้ทุกฝ่าย”
“แต่เดิมเราคิดว่า
เมื่อมีปัญหา หรือต้องการพัฒนางาน เราก็จะมาพูดแต่เรื่องปัญหากัน
และครั้งนี้เราก็เปลี่ยนเป็นการณ์เล่าเรื่องความสำเร็จในการทำงาน
ตามกระบวนการจัดการความรู้
ซึ่งจะทำให้รู้ว่าปัจจัยที่จะทำให้ประสบความสำเร็จนั้นต้องประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
ซึ่งทุกคนก็จะสะท้อนออกมาว่า สิ่งที่ได้เป็นสิ่งที่ดีมากในการนำไปใช้
และเป็นตัวอย่างในการพัฒนางานของตนเอง ต่อไป”
ซึ่งกรมอนามัยได้มีการจัดในส่วนที่ทำได้ก่อน โดยเอา รพ. นำร่อง
มาทำเรื่องการจัดการความรู้ก่อน
ซึ่งก็มีกลุ่มผู้ที่มาแชร์ความรู้กันเป็นร้อยๆคน
และตัวผู้จัดก็ได้ประสบการณ์กับการจัดการกับคน 100 คน
ว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง ซึ่งอย่างน้อยก็มีกว่า 30 โรงพยาบาล
ซึ่งทุกหน่วยที่แลกเปลี่ยน ได้สะท้อนออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรม
และรู้สึกว่าตนเองมีส่วนร่วม และมีความกระตือรือร้น
ที่จะแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน
“เราแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน กลุ่มผู้สูงอายุก็คุยกันด้วยความสบายใจ
มีเพื่อนร่วมคิดร่วมทำ
ซึ่งมันไม่ได้เกิดขึ้นแค่วันที่ไปเยี่ยมบ้านเท่านั้น แต่วันอื่นๆ
ก็แลกเปลี่ยนกันอยู่เป็นประจำ
กิจกรรมที่ผู้สูงอายุจะทำที่โรงพยาบาลจะเป็นกิจกรรมอย่างไร ใครดูแล
และโครงสร้างการดูแลเป็นอย่างไร
และสำนักส่งเสริมสุขภาพก็อยากให้ทำชุมชนนักปฏิบัติ ซึ่งบทบาทของสำนักฯ
ก็เอาคนที่ปฏิบัติงาน กับหัวหน้าหน่วย หัวหน้าส่วน หัวหน้ากลุ่ม
มาทำงานแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน แต่สิ่งสำคัญของการจัดการความรู้นั้น
เราเห็นว่าควรจะมีการจัดการความรู้ทุกระดับ จึงนำทั้งคนขับรถ
เจ้าหน้าที่โสตศึกษา มาร่วมเรียนรู้เรื่องการจัดการความรู้กัน
และให้เข้ามาในกลุ่มด้วย
และเป็นการสร้างพลังให้กับกลุ่มได้มากเพราะทุกคนมีส่วนร่วม
ซึ่งคนขับรถก็ขึ้นมาเป็นคนสรุป
ช่วยเขียนบอร์ดในการประชุมจัดการความรู้
ซึ่งทุกคนมีเรื่องเล่ามาเล่าให้กลุ่มฟัง
ซึ่งจุดนี้เองทำให้ผู้ปฎิบัติงานเข้าใจกระบวนการจัดการความรู้
เพราะที่ผ่านมามักจะมีคำถามอยู่เรื่อย
อาจารย์ก็มาพูดบ่อยๆเหมือนกันว่าเรามาเล่าแต่ความสำเร็จทำไมเราไม่พูดถึงปัญหาอุปสรรค
แต่ตอนนี้ทำให้ทุกคนเข้าใจได้มากขึ้น
และมีความสุขที่จะได้ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน
ปัญหาที่พบ คือ
จะมีคนเกินครึ่งยังเล่าเรื่องไม่ค่อยได้ ไม่มีขุมความรู้ที่แน่ชัด
เพราะอาศัยการเล่าแบบสรุป
ไม่ได้เล่าเรื่องให้เห็นวิธีการในการทำงานในแต่ละขั้นตอน
ไม่มีเกร็ดความรู้เล็กๆให้เห็น
คล้ายๆกับบอกปัจจัยมาเลยว่ามีอะไรบ้าง
และอีกส่วนหนึ่ง
คือ ต้องการจะผลักดันในส่วนหน่วยงานที่จะสร้างอะไรให้สำเร็จ
และให้ทำออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรมอย่างเช่น สิ่งที่เห็นจากเวที
ที่เห็นผู้ปฏิบัติ เป็นรูปธรรมคือศูนย์อนามัย เขต 1 กรุงเทพฯ
ที่มีการปฏิบัติกันอยู่แล้ว และก็มีการจัดกับกลุ่มคนไข้
การแชร์ความสำเร็จของกลุ่มคนทำงาน
ซึ่งคนไข้แชร์ประสบการณ์ของกันและกันด้วยการเล่าเรื่องตามเครื่องมือ
สคส.”
ไม่มีความเห็น