ปัญหาเกี่ยวกับความจริง
แนวคิดทางปรัชญาเกี่ยวกับจักรวาล วิญญาณ มนุษย์
และเทพเจ้านั้น ถึงแม้พระพุทธเจ้าได้กล่าวไว้
แต่ก็เห็นว่ามิได้ช่วยให้ผู้ที่มีความสงสัยคลายจากความสงสัยนั้นได้
เพราะบางครั้งเมื่อยิ่งตอบก็จะเกิดปัญหาติดตามที่ไม่รู้จบ
ทั้งนี้เพราะผู้ที่สงสัยมิได้เห็นความเป็นจริงด้วยตนเอง
ดังนั้นเมื่อมีผู้ทูลถามกับพระพุทธเจ้า
พระพุทธองค์ก็ทรงเลือกที่จะตอบปัญหากับผู้สนทนาด้วยวิธีการต่าง
ๆ ดังบันทึกในพระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่ม ๒๑
หน้า ๔๓ ถึงวิธีตอบคำถามของพระพุทธเจ้า
ดังนี้
๑. กล่าวแก้โดยส่วนเดียว คือ ตอบตรงตามที่ถาม
๒. จำแนกกล่าวแก้ คือ ตอบโดยการแยกแยะ
อธิบายและยกตัวอย่าง
๓. ย้อนถามกล่าวแก้ คือ ตอบโดยย้อนให้ผู้ถามเข้าใจเอง
๔. การงดกล่าวแก้ คือ
ทรงนิ่งเสียถ้าเห็นว่าตอบแล้วไม่เกิดประโยชน์
หรือทำให้ผู้ฟังเข้าใจผิด
โดยมากแล้วพระพุทธเจ้าจะทรงตอบปัญหาให้กับผู้ที่ถาม
แต่มีปัญหาอยู่
๑๐ ประการ
พระพุทธเจ้าทรงนิ่งเสียด้วยเห็นว่าไม่มีประโยชน์ต่อผู้ฟัง
อีกทั้งผู้ฟังไม่สามารถเห็นได้ด้วยประสาท
สัมผัสสามัญ ดังบันทึกในพระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่ม
๒๕ หน้า ๑๔๒-๑๔๓ ถึงเรื่องที่
พระพุทธเจ้าทรงนิ่งเสีย ดังนี้
๑ โลกเที่ยง
๒ โลกไม่เที่ยง
๓ โลกมีที่สุด
๔ โลกไม่มีที่สุด
๕ ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น
๖ ชีพเป็นอื่น สรีระก็เป็นอื่น
๗ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเป็นอีก
๘ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมไม่เป็นอีก
๙ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเป็นอีกก็มี
ย่อมไม่เป็นอีกก็มี
๑๐ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเป็นอีกก็หามิได้
ย่อมไม่เป็นอีกก็หามิได้
จากแนวคิดอภิปรัชญาดังกล่าว นักปราชญ์ทางพุทธ ที่ชื่อ
ศาสตราจารย์ เดวิด (Prof.
David J. Kalupahana) ได้เขียนไว้ในหนังสือ
Buddhist Philosophy, A Historical
Analysis หน้า ๑๕๖. ว่าการวิเคราะห์คำถาม
และตอบคำถามเชิงอภิปรัชญาของพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงใช้หลัก
๓ ประการ
๑. ทฤษฏีทางอภิปรัชญาขึ้นอยู่กับหลักเหตุผล
ไม่ขึ้นอยู่กับประสบการณ์สามัญ (a priori)
ซึ่งการยืนยันหรือปฏิเสธสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ล้วนเป็นสิ่งที่ยากที่จะพิสูจน์ให้เห็นตามความเป็นจริงได้
๒. นักอภิปรัชญาเมื่อขาดประสบการณ์ตรง
แต่ได้พยายามที่จะตัดสินสิ่งที่จะรู้
ว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
โดยไม่พอใจในสิ่งที่ตนรู้อยู่ย่อมไม่สามารถรู้ชัดในความแท้จริงได้
๓. บทสรุป
ยืนยันหรือปฏิเสธของอภิปรัชญาที่ไม่ได้อาศัยประสาทสัมผัส
หรือประสบการณ์สามัญ
ถือว่าเป็นสิ่งที่ไร้ความหมาย(อัปปาฏิทีรกตะ)
ซึ่งทัศนะนี้ในปัจจุบันปรากฏในปรัชญาสายตรรกปฏิฐานนิยม (Logical
positivism)
--->> อย่างไรก็ตาม เราจะเห็นว่าผู้ที่เชื่อและดำเนินชีวิตตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยมากนั้นจะเชื่อเรื่องจิต
นรก สวรรค์ นิพพาน
แต่ก็มีอยู่บ้างที่ปฏิเสธหรือไม่สนใจ
เนื่องจากเป็นสิ่งมองไม่เห็นจับต้องไม่ได้
แต่สำหรับผู้สนใจในปรัชญาแล้วควรคำนึงเสมอว่า สิ่งต่าง ๆ
นั้นมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เรารู้ เราเห็น
เราเชื่อตามผู้อื่นที่เคยรับรู้สิ่งนั้น ๆ เช่น
เชื่อเรื่องอะตอมตามหลักวิทยาศาสตร์
เชื่อหลักฐานทางโบราณคดี
เชื่อเพราะเราเห็นว่าผู้ที่บอกเรานั้นเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ
โลกนี้นอกจากสิ่งที่เรารู้และเราเชื่อแล้ว
ยังมีอีกหลายสิ่งที่เราไม่เคยรู้
ไม่เคยเห็นฉะนั้นสิ่งที่เราไม่เคยรู้
ไม่เคยเห็นแล้วเราจะปฏิเสธว่าไม่มี
ก็คงจะเป็นสิ่งทีไม่เหมาะสมนัก
สำหรับผู้มีความคิด มีสติปัญญา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ศึกษาปรัชญา
ด้วยเหตุนี้ผู้ศึกษาปรัชญาจึงควรที่จะค้นคว้า หาเหตุผล
และปฏิบัติ เพื่อพิสูจน์ความจริงด้วยตนเอง
มากกว่าการยอมรับหรือปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ไม่สมเหตุสมผลนัก
ดังที่ปรากฏในอังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เรื่องกาลามสูตร
ที่พระพุทธเจ้าสอนให้บุคคลใช้เหตุผล
พิสูจน์ทดลองหาประสบการณ์ด้วยตนเองก่อน
และไม่ควรด่วนเชื่อหรือยอมรับสิ่งใด ๆ
ว่าจริงหรือเท็จ เพียงว่าสิ่งเหล่านี้
๑. ฟังตาม ๆ กันมา
๒. เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีแต่โบราณ
๓. เป็นข่าวลือ
๔. ตรงคัมภีร์ มีในตำรา
๕. นึกคิดเองตามหลักตรรกวิทยา
๖. เพราะอาศัยลักษณะภายนอก
๗. นึกเดาเอา
๘. เพราะเห็นว่าตรงกับทัศนะของตน
๙. เพราะเห็นว่ามีลักษณะน่าเชื่อถือ
๑๐. เพราะผู้พูดเป็นครู อาจารย์ของตน
หลักการทั้ง ๑๐ ประการนี้มิใช่สอนให้บุคคลมีทิฐิ
ปฏิเสธทุกเรื่อง ดื้อไม่เชื่อใคร หรือ
ไม่ยอมรับสิ่งใด
แต่เป็นการสอนให้เรารู้จักคิดพิจารณาก่อนการตัดสินสิ่งต่าง ๆ
**************************************************************************
ข้อมูลที่ใช้ในการเรียบเรียง : หนังสือพุทธปรัชญาเถรวาท (ผศ.
วิโรจน์ นาคชาตรี)
ไม่มีความเห็น