ในเดือนกันยายนผมได้รับเชิญ จาก สพท.ราชบุรี เขต 1 ให้ไปบรรยายเรื่อง “บทบาทคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน” และ สพท.นนทบุรี เขต 1 เชิญไปร่วมอภิปรายในหัวข้อ “ปัจจัยสู่ความสำเร็จในการพัฒนาสถานศึกษาตามบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน” จึงอยากจะนำประเด็นสำคัญทั้ง 2 เรื่องที่ผมได้พูดไปในวันนั้น มาเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนกันโดยสังเขป
เรื่องนี้มีกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือ พรบ.การศึกษาแห่งชาติ 2542 แก้ไขเพิ่มเติม2545 มาตรา40และ พรบ.ระเบียบบริหารราชการ ศธ. 2546 มาตรา 38 ซึ่งกำหนดบทบาทหน้าที่คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานไว้เพียง
“ให้มีหน้าที่ กำกับและส่งเสริมสนับสนุนกิจการของสถานศึกษา”
และในท้าย พรบ.การศึกษาแห่งชาติฯ มาตรา 40 ก็ได้ระบุไว้เพียง ให้ออก กฎกระทรวงกำหนดจำนวนกรรมการ คุณสมบัติ หลักเกณฑ์และวิธีการสรรหา การเลือกประธานกรรมการและกรรมการ วาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนั้นอีกหลายปีต่อมาจึงเป็นที่มาให้ออกกฎกระทรวงฯในพ .ศ. 2546
ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่นั้น ไม่ได้กำหนดไว้ใน พรบ.ฉบับใด ดังนั้นหลังประกาศใช้ พรบ.การศึกษาแห่งชาติ 2542 ได้ 1 ปี(2543) กรมสามัญศึกษาในสมัยนั้น(ดร.สุวัฒน์ เงินฉ่ำ เป็นอธิบดี ซึ่งท่านก็เป็น 9 อรหันต์ของ สปศ.ด้วย) จึงได้นำร่อง พาพวกเราคิดขยายรายละเอียดบทบาทหน้าที่ของกรรมการสถานศึกษาเป็นการภายในขึ้น ทั้งๆที่ตอนนั้นยังไม่มีกฏกระทรวงฯออกมา (จากที่ พรบ.บอกสั้นๆไว้เพียง “ให้มีหน้าที่ กำกับและส่งเสริมสนับสนุนกิจการของสถานศึกษา” ดังได้กล่าวไว้ตอนต้น)
พอคิดเสร็จก็ได้มีการประชาพิจารณ์กันพอสมควร แล้วผลักดันเสนอไปที่กระทรวงฯ จนกลายเป็น หน้าที่ของคณะกรรมการสถานศึกษาฯตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2543 ที่เราใช้กันอยู่ 11 ข้อมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งมีสาระย่อๆคือ
1.กำหนดนโยบายและแผนพัฒนาของสถานศึกษา
2.ให้ความเห็นชอบแผนปฏิบัติการประจำปีของสถานศึกษา
3. ให้ความเห็นชอบในการจัดทำสาระหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของท้องถิ่น
4. กำกับและติดตามการดำเนินงานตามแผนของสถานศึกษา
5. ส่งเสริมและสนับสนุนให้เด็กทุกคนในเขตบริการได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างทั่วถึงมีคุณภาพและได้มาตรฐาน
6. พิทักษ์สิทธิเด็ก ดูแลเด็กพิการ เด็กด้อยโอกาสและเด็กที่มีความสามารถพิเศษ ให้ได้รับการพัฒนาเต็มศักยภาพ
7. เสนอแนะและมีส่วนร่วมในการบริหารด้านวิชาการด้านงบประมาณ ด้านการบริหารงานบุคคลและด้านการบริหารงานทั่วไปของสถานศึกษา
8. ระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา ตลอดจนวิทยากรภายนอกและภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมพัฒนาการของนักเรียนทุกด้าน รวมทั้งสื่อสารจารีตประเพณีศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่นและของชาติ
9. เสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษากับชุมชนตลอดจนประสานงานกับองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อให้สถานศึกษาเป็นแหล่งวิทยากรของชุมชนและมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนและท้องถิ่น
10. ให้ความเห็นชอบรายงานผลการดำเนินงานประจำปีของสถานศึกษา ก่อนเสนอต่อสถารณชน
11. แต่งตั้งที่ปรึกษาและหรือคณะอนุกรรมการ เพื่อการดำเนินงานตามระเบียบนี้ ตามที่เห็นสมควร
นอกจากนี้ใน พรบ.การศึกษาแห่งชาติฯ มาตรา 39 ยังระบุเรื่องกระจายอำนาจไว้ว่า ให้กระจายอำนาจการบริหารงานทั้ง 24 งาน(วิชาการ บุคคล งบประมาณ และการบริหารทั่วไป) ไปยังคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ไม่ใช่ไปที่ ตัวบุคคล แต่เป็นองค์คณะบุคคล
แต่เท่าที่ดูโครงสร้างการบริหารของโรงเรียนต่างๆ ยังกำหนดคณะกรรมการสถานศึกษาไว้ด้านข้าง เช่นเดียวกับกรรมการสมาคมฯ กรรมการมูลนิธิฯ บางแห่งขีดเป็นเส้นประด้วยซ้ำ จะเนื่องด้วยอิทธิพลจากวัฒนธรรมการบริหารเดิม หรือด้วยความเกรงอกเกรงใจกัน หรือความหลากหลายของการสรรหากรรมการสถานศึกษาแต่ละท้องที่ ก็ได้ จนบางครั้งผู้บริหารระดับสูงบางคนก็ไปตีความ คำว่า “กำกับและส่งเสริม...” ไปเทียบกับกรรมการตัดสินฟุตบอลว่า “ไม่ใช่เป็นกรรมการเป่านกหวีด แต่เป็นกรรมการกำกับเส้น(ไลแมน)ต่างหาก” ซึ่งระดับนโยบายควรบอกให้ชัดเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยพิจารณาจากกฎหมายและบริบทความเป็นจริงอย่างรอบด้าน ไม่เช่นนั้นการมีกรรมการสถานศึกษาจะทำให้สถานศึกษาบางแห่งมีความรู้สึกลึกๆว่า “เป็นส่วนเกิน” และจะทำตามรูปแบบ (ฟอร์ม) เพื่อไม่ให้ผิดตามกฎหมาย หรือมีประโยชน์ในยามที่ต้องการระดมทรัพยากร หรือมาให้ข้อมูลในยามที่เขามาประเมินโรงเรียนเท่านั้น บางโรงเรียนครูจะไม่รู้จักและให้ความสำคัญกับกรรมการสถานศึกษา แต่ให้ความสำคัญกับกรรมการสมาคมฯ กรรมการมูลนิธิฯ ซึ่งเข้ามาช่วยเหลือและจัดกิจกรรมระดมทรัพยากรมากกว่า ซึ่งกรรมการดังกล่าวก็มีความสำคัญอย่างยิ่งเช่นกัน
แต่ขณะนี้โรงเรียนหลายๆแห่งเริ่มให้ความสำคัญกับกรรมการสถานศึกษามากขึ้น และหน่วยเหนือเวลากำหนดกรรมการที่มีบทบาทประเมิน ตรวจสอบ ดูแลเชิงนโยบายและคุณภาพ จะระบุให้มีคณะกรรมการสถานศึกษาร่วมด้วยมากขึ้น เช่น การประเมินเพื่อดำรงวิทยฐานะครูตามมาตรา 55 พรบ.ระเบียบข้าราชการครูฯ ของ ก.ค.ศ. เป็นต้น
ขอกล่าวถึงเรื่องบทบาทของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานไว้แค่นี้ก่อน ตอนต่อไปจึงจะกล่าวถึงปัจจัยสู่ความสำเร็จฯ
เป็นเรื่องที่กำลังสนใจอยากรู้พอดีเลยครับ..ขอบคุณมาก และจะติดตามตอนต่อไป
ธนิตย์ สุวรรณเจริญ
ได้เขียนตอนจบแล้วครับ
ติดตามตอนจบได้จากไหนคะ