การสืบค้นข้อมูลก่อนเดินทางไปพม่ามีส่วนทำให้เราเตรียมการได้ดีขึ้น สิ่งแรกที่ผู้เขียนเตรียมไว้เป็นพิเศษก่อนไปพม่าคือ การหาข้อมูลเกี่ยวกับพม่า เช่น อ่านหนังสือเกี่ยวกับพม่า สืบค้นข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต ฯลฯ
แหล่งสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับพม่าดีที่สุดแห่งหนึ่งคือ ศูนย์พม่าศึกษา มหาวิทยาลัยนเรศวร น่าดีใจที่เมืองไทยมีอาจารย์มหาวิทยาลัยและทีมงานที่สนใจเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง และนำข้อมูลมาเผยแพร่ให้อ่านได้ตลอด 24 ชั่วโมง(ทางอินเตอร์เน็ต)
คนพม่าส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนาค่อนไปทางเคร่งครัด เวลาเข้าวัดจะถอดรองเท้าไว้ที่ทางเข้าวัด เดินเท้าเปล่าเข้าไปในวัดด้วยความเคารพ
ผู้เขียนมีโอกาสเตรียมตัวก่อนไปพม่าประมาณ 2 สัปดาห์เศษ ฝึกเดินเท้าเปล่าบ่อยๆ เพื่อให้หนังเท้าหนาขึ้น เวลาเหยียบของมีคม เช่น หิน หนาม ฯลฯ จะได้บาดเจ็บน้อยลง
สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรลืมก่อนไปพม่าคือ ควรนำรองเท้าแตะไป 2-3 คู่ เผื่อรองเท้าหาย เพราะคนพม่าชอบสวมรองเท้าแตะคีบ ร้านค้าในพม่าก็จำหน่ายรองเท้าแตะคีบเป็นหลัก หาซื้อรองเท้าแตะสานแบบที่เราใช้ได้ยาก คนที่สวมรองเท้าแตะสานมานานๆ ถ้าใส่รองเท้าคีบอาจจะเจ็บซอกนิ้วเท้าได้
ก่อนจะเดินเท้าเปล่ามีข้อพึงระวังอยู่ 2 อย่างได้แก่ เรื่องแรกคือเป็นเบาหวานหรือไม่ เรื่องที่สองคือฉีดวัคซีนบาดทะยักซ้ำแล้วหรือยัง
คนที่เป็นเบาหวานไม่ควรเดินเท้าเปล่า เพราะอาจจะเป็นแผลติดเชื้อเรื้อรัง ทำให้เสี่ยงต่อการถูกตัดนิ้วเท้า ข้อนี้ผู้เขียนโชคดี เช็คแล้วน้ำตาลในเลือดยังต่ำอยู่
ถ้าเป็นเบาหวานจริงๆ ควบคุมน้ำตาลให้ดีหน่อย เดินระวังหน่อยก็คงจะไปทำบุญที่พม่าได้ แต่ถ้าเป็นเบาหวานแล้วไม่รู้ตัว อันนี้จะเสี่ยงอันตรายมาก
ผู้เขียนฉีดวัคซีนบาดทะยักครบแล้ว เท่าที่จำได้... ฉีดกระตุ้นครั้งสุดท้ายยังไม่เกิน 10 ปี ทำให้ไม่ต้องฉีดกระตุ้นซ้ำ ผู้ใหญ่ควรฉีดกระตุ้นบาดทะยักทุก 10 ปี เพื่อเพิ่มระดับภูมิคุ้มกัน
การเดินเท้าเปล่าสำหรับ “เท้าสมัครเล่น” เช่นผู้เขียนคงจะหนีเรื่องบาดแผลได้ยาก จึงควรฉีดวัคซีนบาดทะยักก่อนไปพม่าถ้าฉีดกระตุ้นครั้งสุดท้ายนานเกิน 10 ปี
ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์เมียนม่าไทม์ทางอินเตอร์เน็ตเดือนมิถุนายน 2548 กล่าวว่า โรคภัยไข้เจ็บที่เป็นสาเหตุของการตายที่พบบ่อยที่สุดของพม่า 3 โรคแรกได้แก่ มาลาเรีย เอดส์ และวัณโรค ช่วงนั้นมีโรคระบาดในย่างกุ้งอีกอย่างหนึ่งคือ ไข้เลือดออก
เรื่องมาลาเรียไม่ค่อยน่าห่วง เพราะเราจะไปทางเครื่องบิน ไม่ผ่านป่า ไม่ผ่านชายแดน เรื่องเอดส์ไม่น่าห่วง อายุของบรรดาผู้เฒ่าในคณะของเราคือ 75 (ผู้การฐนัส), 63 (อาจารย์วิเชียร), 44 (ผู้เขียน) ปีตามลำดับ นับว่า ใกล้ฝั่งเข้าไปทุกที เรื่องนี้จึงไม่มีปัญหา มุ่งหน้าทำบุญลูกเดียว
เรื่องวัณโรคนี่ต้องระวังไว้บ้าง พยายามอย่าเข้าไปในที่ที่ติดเครื่องปรับอากาศ เช่น ร้านอาหาร รถโดยสาร ฯลฯ รักษาสุขภาพให้ดี เท่านี้คงจะปลอดภัย
ต่อไปเป็นเรื่องไข้เลือดออกที่ย่างกุ้ง ผู้เขียนเตรียมซื้อยากันยุงชนิดพ่นไว้หลายหลอด สอบถามจากอาจารย์วิเชียร ท่านว่า วัดแฌมเย่ที่เราจะไปพักติดมุ้งลวดอย่างดี แถมยังมีมุ้งเตรียมไว้พร้อม ไม่น่าห่วงอะไร
การเดินทางไปพม่าจะต้องระวังเรื่องอุบัติเหตุให้ดี การมีอุบัติเหตุอาจทำให้ต้องรับเลือดจากคนอื่น และเสี่ยงต่อการติดโรคโดยไม่จำเป็น
อาจารย์นายแพทย์ติน วิน มาวกล่าวว่า โรงพยาบาลในพม่ามี 805 แห่ง มีคลังเลือด 38 แห่ง ปี 2548 มีการบริจาคเลือด 181,920 ถุง (ของไทยในช่วงเวลาเดียวกันมีการบริจาคเลือดมากกว่า 700,000 ถุง)
เลือดในพม่า 75 % มาจากผู้บริจาคเลือด อีก 25 % มาจากการบริจาคแบบฉุกเฉิน โดยญาติหรือเพื่อนๆ ของคนไข้บริจาค
เลือดเหล่านี้ผ่านการตรวจเอดส์ 100 % ตรวจไวรัสตับอักเสบบี 85 % ตรวจไวรัสตับอักเสบซี 25 % ซิฟิลิส 85 % ผู้เขียนเข้าใจว่า เลือดที่จำเป็นต้องให้คนไข้ก่อนตรวจครบทุกอย่างน่าจะเป็นเลือดที่บริจาคกันแบบฉุกเฉิน
หนังสือพิมพ์เมียนม่าไทม์ เดือนมิถุนายน 2548 ลงข่าวเชิญชวนให้คนพม่าช่วยกันบริจาคเลือดกันให้มากขึ้น
ตอนนั้นมีฝรั่งจากสถานทูตสหราชอาณาจักร(อังกฤษ)ไปบริจาคเลือด อาจารย์แพทย์ชาวพม่ากล่าวชมลงหนังสือพิมพ์กันยกใหญ่ นี่ก็เป็นอานุภาพของการทำดีที่ทำให้เกิดมิตรภาพระหว่างประเทศได้อย่างมากมาย
คนพม่าบริจาคเลือดได้ประมาณ 1 ใน 4 ของความต้องการ เทียบกับคนไทยปีเดียวกันบริจาคเลือดได้ประมาณ 1 ใน 2 ของความต้องการ
นั่นหมายความว่า ถ้าจะให้ระบบคลังเลือดของพม่าอยู่ในสภาพที่มีเลือดที่ผ่านการตรวจอย่างละเอียด และเก็บสำรองไว้อย่างดีเยี่ยม คนพม่าน่าจะบริจาคเลือดให้มากกว่านี้ประมาณ 4 เท่า ระบบคลังเลือดของไทยเองก็ต้องการให้คนไทยช่วยกันบริจาคเลือดให้มากกว่านี้ประมาณ 2 เท่า
ถ้าท่านผู้อ่านท่านใดมีส่วนในการบริจาคเลือดหรืออวัยวะมาแล้ว ผู้เขียนก็ขอกราบอนุโมทนาในกุศลเจตนาของท่านมา ณ ที่นี้
ท่านใดที่ยังไม่เคยบริจาคเลือด ขอเชิญบริจาคเลือดที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน ถ้ามีโอกาสไปพม่า เชิญแวะคลังเลือดโรงพยาบาล จะบริจาคเป็นเงิน หรือจะให้เป็นสิ่งของ เช่น ผ้าก๊อซ พลาสเตอร์ยา ฯลฯ ก็ได้
คนพม่าดูจะชอบนักท่องเที่ยวไทย เพราะนักท่องเที่ยวไทยส่วนใหญ่ไปกราบไปไหว้พระเจดีย์ แถมยังมีสตางค์ไปบริจาคคราวละมากๆ ทำอย่างนี้ถูกใจชาวหม่อง คนพม่าชอบชื่อ “หม่อง (Maung)” ชื่อนี้เป็นชื่อผู้ชาย ออกเสียงคล้ายๆ “หม่าว” ดีกับเพื่อนบ้านไว้ดีกว่าทะเลาะกันครับ...
ระบบคลังเลือดของพม่าได้รับความอนุเคราะห์จากญี่ปุ่น (JICA) อย่างดี อาสาสมัครญี่ปุ่นช่วยงานคลังเลือดไปทั่วพม่า นอกจากนั้นญี่ปุ่นยังบริจาครถให้คลังเลือด เข้าใจว่าเป็นรถใช้แล้ว เพราะดูไม่ถึงกับใหม่นัก
การที่ญี่ปุ่นให้ความช่วยเหลือคลังเลือดพม่านับว่าได้ทั้งบุญ และได้โฆษณาประชาสัมพันธ์ภาพพจน์ญี่ปุ่นในด้านดีไปในตัว น่าเสียดายที่คนไทยไม่ได้ให้ความช่วยเหลือเพื่อนบ้านมากเท่าที่ควร
การทำการค้าในต่างแดนนั้น... ถ้าไม่มีกิจกรรม "คืนกำไร" หรือให้อะไรตอบแทนสังคมบ้าง เจ้าบ้านอาจจะติเตียนได้ว่า เป็นนายทุนหน้าเลือดอะไรทำนองนี้
ถ้าอะไรกับสังคมบ้าง สังคมก็จะแสดงความชื่นชมกลับมา คนพม่าเองเห็นญี่ปุ่นเข้าไปช่วยคลังเลือดเช่นนี้ดูจะชื่นชอบญี่ปุ่นไม่น้อยอยู่เหมือนกัน...
ภาพที่ 2: หน่วยอาสาสมัครเชิญชวนบริจาคเลือดที่ตลาดเมืองพุกาม (Noble heart yoluntary blood donator’s association) ภาพนี้จะเห็นอาสาสมัครญี่ปุ่นทำงานร่วมกับคนพม่า ด้านหลังมีรถบริจาคของญี่ปุ่น ถ้าใครยินดีบริจาคเลือด เขาจะติดเข็มเชิดชูเกียรติให้ และพาไปบริจาคที่โรงพยาบาลพุกาม
- คนสวมแว่นจดข้อมูลอยู่คือ อาจารย์วิเชียร ท่านสวมโสร่งแบบพม่า วิธีสวมแบบพม่าคือ ห้ามใส่เข็มขัด ของมีค่าให้ใส่ไว้ในกระเป๋าสะพายหรือเป้ คนพม่าบางคนก็เหน็บของไว้กับขอบโสร่งทางด้านหลัง ถ้าสวมเข็มขัด...พม่าจะรู้ทันทีว่า นี่ไม่ใช่หม่อง(ไม่ใช่พม่า)
- ผู้เขียนร่วมทำบุญไป 1,000 จัต เมื่อพิจารณาภายหลังว่า ทำเป็นเงินพม่า(ตอนนั้น 1 บาทไทยเท่ากับ 25 จัต) รู้สึกว่า ทำบุญน้อยเกินไป รู้สึกไม่อิ่มใจ ทำให้ต้องไปทำบุญเพิ่มที่คลังเลือดโรงพยาบาลมัณฑเลย์จนอิ่มใจ
แนะนำให้ชมภาพเต็มจอ (โปรดคลิกลิงค์ข้างล่าง) จะเห็นภาพผู้การฐนัสทางขวา
ท่านบริจาคเลือดมาแล้วถึง 37 ครั้ง > http://www.gotoknow.org/file/wullopporn/BloodBankMarketBranch.jpg
อ่านแล้วสนุกมากเลยครับแถมได้ความรู้ไปโดยไม่รู้ตัว
เราคงต้องยกย่อง คนที่บริจาคเลือด เขาทำเพื่อมนุษยธรรมจริงๆ โดยไม่ได้มุ่งหวังผลตอบแทน แต่ได้ความสุขทางใจกลับมา
ปล. อยากทราบเรื่องพม่าเปลี่ยนเมืองหลวงเช่นกัน ครับ
ลืมลงชื่อ ครับ
ผมขอลงชื่อเป็นลิงค์นะครับ
เนื่องจากสามารถตามหาตัว คนโพสได้ง่ายกว่า
การลงชื่อจริง ครับ :-)
อ่านแล้ว รู้สึกอิ่มบุญไปด้วยค่ะ (อ่านตรงกับวันพระซะด้วย)
เพิ่งทราบว่าอาจารย์วัลลภอายุ 44 ปี อาจารย์สมลักษณ์ช่างสังเกตมากเลยค่ะ เพราะตอนแรกอ่านก็ผ่านตาเฉยๆ พอมาอ่านความเห็นต่อ ย้อนไปดูบทความใหม่ ถึงได้สังเกต ขอศึกษาวิธีช่างสังเกตแบบนี้ด้วยค่ะ
ทำไมคนพม่าถึงต้องการเลือดมากคะอาจารย์ (ถือว่ามากไหมคะถ้าเทียบกับประเทศอื่น)