สังคหวัตถุ 4 พระพุทธเจ้าทรงอุปมาเหมือนพาหนะที่จะนำคนไปสู่ความสุขความเจริญในโลก เพราะสังคมมนุษย์เราจำเป็นต้องอิงอาศัยธรรมะ 4 ประการนี้ ทรงชี้อีกมุมที่ตรงกันข้าม ถ้าหากว่าสังคมปราศจากเสียซึ่งธรรม 4 ประการนี้แล้วแม้มารดาบิดาก็จะไม่ได้รับการนับถือบูชาจากบุตรธิดา โลกจะอยู่ไม่ได้เลย จึงเรียกว่าธรรมเป็นเครื่องสงเคราะห์ การสงเคราะห์ก็มีอยู่ ๒ ฝ่าย คือ
อามิสสังคหะ คือ สงเคราะห์ด้วยวัตถุสิ่งของ
ธรรมสังคหะ สงเคราะห์โดยธรรม ถ้าเรามองในแง่ของคนที่แสวงหาที่พึ่ง สิ่งนี้ก็เป็นการสนองตอบความต้องการขั้นพื้นฐานของคน เช่น ต้องการความรักและได้รับความรัก ความอบอุ่น ความปลอดภัย ต้องการที่พึ่งพำนักอาศัยต้องการพักผ่อนหย่อนใจหรือว่าต้องการร่วมกิจกรรมต่าง ๆ กัน เป็นต้น ก็ต้องมีธรรมะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว หลักที่จะให้เกิดเครื่องยึดเหนี่ยวทางใจกันขึ้น มาสรุปรวมอยู่ที่สังคหวัตถุ
แม้แต่แนวความคิด การแสวงหาเครื่องรางของขลังที่ชาวบ้านเขาแสวงหากันแนวของพระเครื่องนั้น คือ เมตตา มหานิยาม คงกระพันชาตรี แคล้วคลาด ธรรมะทั้ง 4 ประการ มีลักษณะก่อให้เกิดเป็นเมตตามหานิยาม คงกระพันชาตรีและแคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งหลายได้ องค์ธรรมทั้ง 4 ประการนี้ คือ
1. ทาน การให้ เป็นลักษณะการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ให้ของของตนแก่คนอื่น ที่ควรแก่การให้ การให้นั้นมีอยู่ 2 แนวใหญ่ ๆ คือ
การให้ด้วยจิตคิดอนุเคราะห์ หมายถึงว่าการอนุเคราะห์การสงเคราะห์ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ด้วยอัธยาศัยไมตรีโอบอ้อมอารีต่อบุคคลเหล่านั้น เขาประสบความเดือดร้อนความขาดแคลน ก็สงเคราะห์เขาเท่าที่จะสงเคราะห์กันได้และบางคราวเป็นเรื่องของอัธยาศัยไมตรีในทำนองที่แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงกัน มีของอะไรก็แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ เป็นการสร้างอัธยาศัยไมตรีอย่างที่คนไทยเราถือว่า รั้วคนดีกว่ารั้วสังกะสีรั้วเหล็กกำแพง อย่างบ้านในชนบาทเห็นได้ชัดมาก ถ้าไม่มีหนอนบ่อนไส้ไม่มีใคร สามารถขโมยได้ เพราะถึงขโมยก็ออกไปนอกหมู่บ้านไม่ได้ประเดี๋ยวก็จับได้ นี่คือลักษณะโครงสร้างสังคมไทยที่เรานิยมเอาธรรมะไปสั่งสอนกันมา ก่อให้เกิดเป็นความปรารถนาดี ความหวังดีต่อกันว่า “เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่โอบอ้อมอารี” การอนุเคราะห์คือแสดงความมีน้ำใจการสงเคราะห์ให้ในกรณีที่เขาขาดแคลน เราก็สงเคราะห์เขา
ให้เพื่อบูชาคุณความดี เช่น การทำบุญตักบาตร การให้อาหาร ให้เสื้อผ้า แก่พ่อแม่ ปู่ย่าตายายในวันตรุษสงกรานต์ การเสียภาษี ให้แก่รัฐ เหล่านี้เป็นการให้ด้วยสำนึกถึงคุณความดีดการให้ก็เป็นการปฏิบัติธรรมะเหมือนกันอย่าลืมว่าขอบข่ายของการให้พอถึงจุดหนึ่ง
เมื่อเราเป็นพวกเดียวกันแล้ว หนักนิดเบาหน่อยก็ทนกันได้ กลายเป็นอภัยทาน คือการให้อภัย เมื่ออภัยกันได้ ก็เข้าอกเข้าใจกัน ต่อมากลายเป็นธรรมทาน คือ จะพัฒนาไปจากจุที่วัตถุทาน แต่มาถึงจุดหนึ่ง สามารถว่ากล่าวตักเตือนกันได้ อย่างคนเฒ่าคนแก่ในท้องถิ่นชนบท ท่านสามารถจะดุด่าเด็กที่เหมือนกับลูกหลานของท่านได้เวลามีปัญหากรณีพิพาทอะไร ท่านผู้นี้ไปพูดบางทีก็เลิกแล้วต่อกันได้ นี่เพราะอะไร เพราะท่านผู้นี้ได้สร้างสมบารมีด้วยการสงเคราะห์ในเชิงวัตถุธรรมมาก่อน มีการให้อภัยในความผิดพลาดบกพร่อง อยู่ในฐานะที่ว่ากล่าวตักเตือนกันได้ คนเรากว่าจะปรับตัวขึ้นมาอยู่ในจุดนี้ได้ก็ต้องใช้เวลา สร้างบารมีพอสมควร หลวงพ่อบางรูปในต่างจังหวัด มีการมีงานภายในวัด ตำรวจไม่ต้องมาตรวจการณ์ ไม่ต้องมาทำอะไร หลวงพ่ออยู่รูปเดียวใครไม่กล้าทำอะไรหรอก จะไปก่อเรื่องก่อราวขึ้นมาไม่ได้ อย่างนี้หลวงพ่อต้องมีบารมีอยู่มาจนเด็ก ๆ เรียกหลวงปู่หมดแล้ว ฉะนั้นสมภารในต่างจังหวัดจึงจำเป็นจะต้องเป็นพระแก่ ๆ เพราะเป็นเรื่องของบารมี ถ้าไม่มีบารมีเราก็ทำงานไม่ได้ อยู่เป็นหลวงปู่แล้วสบายแล้ว สามารถที่จะควบคุมอะไรก็ได้
2. ปิยวาจา เจรจาที่อ่อนหวาน ตรงกันข้ามกับคำหยาบแต่ในเชิงปฏิบัติแล้ว ปิยวาจา คือ เจรจาถ้อยคำอันเป็นที่รัก วาจาเป็นที่รัก ผู้กล่าวกล่าวด้วยความรักความปรารถนาดีต่อบุคคลอื่น ซึ่งบางครั้งอาจเป็นคำดุคำตักเตือนก็ได้ แต่ถ้าหากว่า พูดด้วยความรักหวังดีปรารถนาดี ถือว่ายังเป็นธรรมเครื่องสงเคราะห์กัน ถ้าหากอัธยาศัยเริ่มมีความรักความปรารถนาดีต่อไปจะกระจายตัวไปเอง คือจะพูดคำสัตย์คำจริงเอง จะไม่ยุยงให้คนเหล่านั้นเขาแตกแยกกัน เพราะรักหวังดีต่อเขา จะพูดเฉพาะเรื่องที่มีประโยชน์มันก็จะกระจายตัวเอง เป็นวจีสุจริตครบทั้ง 4 แต่เริ่มที่ปิยวาจา คือวาจาอันเกิดจากใจที่มีความรักและหวังดี ปิยวาจาบางครั้งถ้อยคำอาจจะไม่ไพเราะ ไม่อ่อนหวาน หากพูดด้วยความปรารถนาดี ยังอยู่ในขอบงข่ายของปิยวาจา
เรื่องของวาจานั้น พึงสังเกตว่าในแง่ของธรรมชาติร่างกายกายก็น่าคิด ในแง่ของธรรมก็น่าศึกษา ในแง่ของชีวิตประจำวันยิ่งน่าสนใจ เพราะแต่ละเหตุแต่ละกรณีนั้น ท่านได้ให้ความสำคัญแก่วาจาไว้มาก เช่น ในกุศลกรรมบถ 10 ว่าด้วยการทำความดีทางกาย วาจา ใจ ท่านแสดงเรื่องของวาจาไว้ถึง 4 ข้อ ในขณะที่ใจมีเพียง 3 ข้อเท่านั้น คติไทยเราเองได้ให้ความสำคัญแก่วาจาไว้มาก เช่น
- ปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี ชั่วดี เป็นตรา
- เป็นมนุษย์สุดนิยมเพียงลมปาก จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา หากพูดดีมีคนเขาเมตตา จะพูดจาจงพิเคราะห์ให้เหมาะความ
- ปากเป็นเอกเหมือนเสกมนต์ให้คนเชื่อ ฉลาดเหลือวาจาปรีชาฉาน จะกล่าวถ้อยร้อยคำไม่รำคาญ เป็นรากฐานเทอดตนพ้นลำเค็ญ
- ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์ มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต พูดชั่วตัวตายทำลายมิตร จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา
- อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก แต่ลมปากหวานหูมิรู้หาย
การพูดที่เป็นปิยวาจาจึงต้องออกมาจากจิตที่ ประกอบด้วยความรักความเมตตา ต่อผู้ที่ตนพูดด้วย วาจาเปล่งออกมาอย่างไร ใจต้องคิดอย่างนั้นด้วย คือวาจา ต้องเป็นเช่นเดียวกับใจ ใจเช่นเดียวกับวาจา หรือพูดอย่างที่ตนคิดอย่างที่พูดและตัวความคิดนั่นเองจะต้องมีเมตตาเป็นหลักจิต เพื่อให้การพูดและแม้การกระทำกอปรด้วยเมตตาก่อนจะพูดจึงต้องคิดว่า จะพูดอะไร? พูดกับใคร ? พูดไปทำไม ? พูดไปแล้วได้ประโยชน์อะไรบ้าง ? ประเภทของถ้อยคำที่พูดด้วยความรักจึงประกอบด้วย
1. เป็นความจริง ตามประสาทสัมผัสของตนคือพูดตามที่ตนได้เห็น ได้ยิน ได้ทราบ ได้รู้มาเมื่อเห็นว่ามีประโยชน์แก่ผู้ฟังก็พูดเรื่องนั้นให้ฟัง
2. เป็นคำสร้างสามัคคี เรื่องที่นำมาพูดจะต้องมีลักษณะประสานสามัคคี ส่งเสริมสามัคคีและกระชับสามัคคี ตามสมควรแก่ฐานะของบุคคล
3. เป็นถ้อยคำที่ไพเราะอ่อนหวาน ฟังแล้วสบายหู สบายใจ สุขใจ ปลื้มใจ เพราะได้ฟังถ้อยคำที่สะท้อนจากใจอันกอปรด้วยรัก ความเมตตาจากผู้พูด
4. เป็นคำที่มีสาระประโยชน์ อันเป็นคนพูดที่เกิดจากการตั้งถามดังกล่าว ดังนั้นการพูดในลักษณะนี้จึงต้องดูว่า เรื่องนั้นเป็นเรื่องจริงไหม ? พูดไปแล้วเขาเห็นว่าเป็นประโยชน์ทรงสอนให้กาลที่จะพูดเรื่องนั้น
3. อัตถจริยา ประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่บุคคลอื่น จะเห็นได้ว่ามีทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ทางกายกรรม ก็ช่วยเหลือขวนขวายในกิจการงานอย่างในบ้านในเมืองของเขา เราก็ช่วยเหลือกัน ไถนาก็ช่วยเหลือกันไถนา มีกิจการอะไรก็ตาม เช่น ปลูกบ้าน ต่างจังหวัดบ้านหลังหนึ่งขนาด 2 – 3 ห้อง ปลูกไม่กี่วันก็เสร็จ เพราะเขาช่วยเหลือกัน นี้เรียกว่าประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์ด้วยกันในทางกาย ช่วยเหลือขวนขวายกันในกิจการงานที่ชอบ ประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์กันด้วยวาจา คือพูดในทางที่เสริมสร้างความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แนะนำชี้แจงแสดงเหตุผล การกระทำบางอย่างต้องคิดใจเขาใจเรา เช่น อยู่ใกล้เคียง เพื่อนคนหนึ่งต้องการจะอ่านหนังสือ เราเขย่าวิทยุเสียลั่น ไม่เป็นอัตถจริยา เพราะทำลายประโยชน์อีกฝ่ายหนึ่ง ที่เขาจะพึงได้ ข้อนี้ชั้นของวินัย มีวินัยบางข้อเสริมอัตถจริยา เช่น ภิกษุรูปหนึ่งกำลังท่องปาฏิโมกข์อยู่ เราไปชวนคุยเป็นการทำลายประโยชน์ท่านก็ปรับเป็นอาบัติปาจิตตีย์ นั่นคือ สอนให้ประพฤติในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อกัน เกื้อกูลกันในบางครั้งบางคราว เราไม่สามารถจะทำได้ แต่อย่าถึงกับไปทำลายประโยชน์ของเขา อย่างนี้พออยู่กันภายในสังคมได้
ขอบข่ายของคำว่า อัตถจริยา จึงเริ่มต้นจากการกระทำอะไรก็ตาม ที่สามารถอำนวยประโยชน์ความสุขให้แก่ตนอื่นได้ โดยที่สุดแม้แต่การงดเว้นไม่กระทำในลักษณะหักราน ทำลายผลประโยชน์ที่คนอื่นควรจะได้ หรือได้แล้ว ก็ได้ชื่อว่าเป็นการทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ เมื่อกล่าวสรุปตามสถานะของคนแต่ละคนแล้วขอบข่ายของการทำประโยชน์สามารถกระจายออกไป 3 ทางใหญ่ ๆ ด้วยกัน คือ
- ในฐานะเป็นสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัว ตระกูล บ้านเมือง พยายามไม่ทำสิ่งที่เป็นอันตรายต่อต้นสังกัดของตน โดยพยายามทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและครอบครัว
- ในฐานะเป็นสมาชิกคนหนึ่งของสังคม ไม่ทำตนให้เป็นพิษเป็นภัยต่อสังคม แต่พยายามทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมที่ตนเป็นสมาชิก
- ในฐานะที่ตนเป็น ซึ่งการเป็นของคนแต่ละคนนั้นไปสัมพันธ์กับ ชั้น ยศ ตำแหน่ง กาล สถานที่ กรณีเป็นต้น ซึ่งต้องปฏิบัติตนให้เป็นประโยชน์ต่อการงาน ภารกิจหน้าที่ กาล สถานที่นั้น ๆ ตามสมควรแก่จุดที่ตนเข้าไปสัมพันธ์ในขณะนั้น
4. สมานัตตตา ความมีตนสม่ำเสมอไม่ถือตัว ได้แก่ การวางตนเหมาะสมแก่ฐานะที่ควรจะเป็นและที่ตนเป็น ไม่แสดงอาการขึ้น ๆ ลง ๆ 3 วันดี 4 วันร้าย กำหนดทิศทางลมไม่ค่อยถูก ว่าจะเอาอย่างไรกันแน่ อีกอย่างหนึ่งคือไม่ลืมตน เช่น เคยเป็นเพื่อนฝูงกันมา พอได้ดีหน่อยก็ลืมเพื่อน ต้องแสดงอัธยาศัยไมตรีให้ปกติ แม้คนไม่ชอบพูดชอบคุยอะไรก็ต้องทักทายปราศัยเรื่องที่ออกจะปฏิบัติยาก ดูนิทานเปรียบเทียบออกจะฟังง่าย บางเรื่องเป็นการยอมรับนับถือกันอย่าง สหาย 3 คนเป็นขอทาน คนหนึ่งราชรถมาเกย ได้เป็นพระราชา อีกคนหนึ่งคิดว่าเพื่อนเราเป็นพระราชาก็เบ่ง แต่งตัวขอทานเข้าไป อันนี้เป็นการไม่ให้เกียรติ ไม่ยกย่องเพื่อนในฐานะที่ชอบที่ควร เพื่อนก็ให้เงินหน่อยหนึ่งแล้วไล่ออกจากเมืองไปเลย อีกคนหนึ่ง แกถือว่า เพื่อนก็คือเพื่อนแต่ในที่ต่อหน้าสาธารณชน ก็ต้องวางตัวให้ความเคารพนับถือตามสมควรแก่ฐานะของเพื่อน นี้คือเป็นหลักของสมานัตตตา วางตนเหมาะสมแก่ฐานะที่ตนเป็น ไม่ใช่พอมีสมานัตตาแล้วสมภารจะลงเล่นกับลูกวัด คือต้องวางตนเหมาะสมกับฐานะ อีกประการหนึ่งก็คือ ไม่ถือตัวจนเกินไป เวลาได้ดีไม่หลงตัว ลืมตน คางคกขึ้นวอ มะพร้าวตื่นดก ยาจกตื่นมี ขี้ข้าได้ดี ที่โบราณท่านพูดว่าคางคกขึ้นวอ คือถ้าทำอะไร ๆ กันเกิน ๆ ไป ก็เสียหลักของสมานัตตา เทนที่คนจะเกิดความนับถือกลับไม่พอใจชิงชังเอาได้ หลัก 4 ประการนี้ เป็นการปฏิบัติตัวของคนแต่ละคน แต่ไม่ได้หมายความว่า กะเกณฑ์ให้คนใดคนหนึ่ง เป็นทุกฝ่ายต้องแสดงออกซึ่งอัธยาศัยเหล่านั้น เช่น เพื่อนกันก็ต้องเสมอต้นเสมอปลาย แสดงความเป็นกัลยาณมิตร แม้ในยามวิบัติก็ไม่ทอดทิ้งกัน หลักของสมานัตตา คือมีตนเสมอ วางตนเสมอ แต่ต้องไม่วางตัวต่ำเกินไป เพื่อต้องการให้คนอื่นเขาเห็นว่าเราไม่ถือเนื้อถือตัว เล่นหัวจนไม่เป็นเวลา วางตัวสูงเกินไปก็เสีย
คุณธรรมทั้ง 4 ประการนี้ มีในบุคคลใดก็ตาม จะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจคนไว้ ได้ก่อให้เกิดความเคารพ ความรัก ความนับถือต่อกันและกัน เป็นเหมือนพาหนะที่จะนำคนไปสู่ความสุขความเจริญที่ต้องการได้ เป็นจุดยึดเหนี่ยวทางใจ ภายในจากครอบครัว เป็นต้นไป จนถึงสังคม จนกลายเป็นพระเครื่อง 4 องค์ ที่ก่อให้เกิดผลทางเมตตามหานิยม คงกระพันชาตรีและแคล้วคลาดแท้ ๆ ทั้งเป็นพุทธวิธีครองใจคนเป็นจุดที่ยึดเหนี่ยวน้ำใจคนไว้ได้
อ้างอิง
โสภณคณาภรณ์ (ระแบบ ฐิตญาโณ),พระ. ธรรมปริทรรศน์. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์การศาสนา, 2526.
ราชธรรมนิเทศ (ระแบบ ฐิตญาโณ),พระ. นิเทศธรรม. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : ธีรพงษ์การพิมพ์, 2537.
สุทธิพงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์. หลักพระพุทธศาสนา. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์การศาสนา, 2531.
ข้าพเจ้ามีความรู้สึกเห็นด้วยอย่างยิ่ง
นมัสการครับ หลักธรรมในการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข และเป็นผู้รู้จักวางตัวในการปฏิสัมพันธ์กันนะครับ...สาธุ ครับ พระคุณเจ้า
กราบนมัสการ ขออนุญาตนำบันนี้เผยแพร่ บอกต่อ นะครับ กราบขอบพระคุณ
กราบนมัสการพระคุณเจ้า ขออนุญาตินำบทความนี้ไปเป็นเนื่อหาในการบรรยายธรรมเพื่อเผยแพร่ในโรงเรียน กราบขอบพระคุณอย่างสูง ค่ะ