แคลเซียมเป็นแร่ธาตุหนึ่งทีสำคัญของร่างกายและเป็นสารอาหารอีกประเภทหนึ่งที่ไม่ให้พลังงาน แต่ร่างกายต้องการและขาดไม่ได้ ประโยชน์ของแร่ธาตุที่มีต่อร่างกายมีดังนี้
- เป็นส่วนประกอบของอวัยวะบางอย่าง เช่น กระดูก ฟัน กล้ามเนื้อ เซลล์ประสาท เป็นต้น
- เป็นส่วนประกอบของสารต่างๆในร่างกาย เช่น เลือด น้ำในเซลล์ เป็นต้น
- ช่วยในการควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆให้ทำหน้าที่เป็นปกติ
- ร่างกายของคนมีความต้องการแร่ธาตุต่างๆ หลายชนิดและต้องการในปริมาณที่แตกต่างกัน
แหล่งอาหารของแร่ธาตุแคลเซียม (Ca) ได้แก่ ปลาไส้ตัน กุ้งแห้ง เนยแข็ง นมสด ไข่ งาดำ ผัก(แครอท คะน้า ตำลึง) ผลไม้ (มะละกอ ส้มเขียวหวาน แอปเปิ้ล สตรอเบอร์รี่ แตงโม กระเจี๊ยบแดง แคนตาลูป กล้วยหอม ฝรั่ง)และประโยชน์หลักๆ ที่สำคัญได้แก่ เป็นส่วนประกอบของกระดูกและฟัน ช่วยในการแข็งตัวของเลือดและการทำงานของกล้ามเนื้อ เกี่ยวกับการถ่ายทอดกระแสประสาท
นอกจากนี้ ธาตุแคลเซียมที่ร่างกายได้รับจากการดื่มนมสดจะไปรวมตัวกับกรดแลคติกที่บริเวณปลายประสาท ทำให้กรดแลคติกไม่สามารถก่อความระคายเคืองต่อระบบประสาทได้ จึงทำให้เกิดความเครียดหรือเกิดความเครียดน้อยลง ปริมาณแคลเซียมที่ควรได้รับในแต่ละวันคือ 1,000 มิลลิกรัม เทียบได้ง่ายๆ คือ การได้ดื่มนมวันละ 1 แก้ว ก็เพียงพอแล้ว หรือถ้ากลัวอ้วน ให้ดื่มนมพร่องมันเนยหรือรับประทานโยเกิร์ตแทนก็ได้
เมื่อขาดแร่ธาตุธาตุแคลเซียมจะเกิดอาการอันได้แก่ โรคกระดูกอ่อน (ricket) การทำงานของกล้ามเนื้อผิดปกติ กล้ามเนื้อเกร็ง ชักกระตุก และเลือดแข็งตัวยาก
แคลเซียม อาจจะเป็นแร่ธาตุที่หลายคนคิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับกระดูกเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงยังมีคุณสมบัติอีกหลายประการที่โดดเด่น ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีงานวิจัยที่ตีพิมพ์มากมายที่แสดงถึงความสำคัญของแคลเซียม เราลองมาดูกันว่าแคลเซียมนั้นมีประโยชน์อย่างไรบ้าง
1. Weight Loss
Dr. Robert Heaney จาก Creighton University ใน Omaha ได้แสดงถึงงานวิจัยในสตรี 575 คน พบว่า กลุ่มที่รับประทานแคลเซียมสูงจะมีภาวะน้ำหนักตัวเกินน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับประทานแคลเซียม ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ Dr. Michael Zemel จาก University of Tennessee ที่กล่าวถึงแคลเซียมว่า ธาตุอาหารชนิดนี้จะส่งผลต่อฮอร์โมนที่เกี่ยวกับระบบเมตาบอลิซึมที่จะทำให้เกิดการเผาผลาญไขมันได้ ขณะเดียวกันนักวิจัยจาก Purdue University ใน West Lafayette, Ind. ได้ศึกษากลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้หญิงอายุระหว่าง 18-31 จำนวน 54 คน พบว่า หากมีการรับอาหารที่มีแคลเซียมสูงถึง 780 mg./ วัน จะไม่ทำให้เกิดการสะสมไขมันเพิ่มขึ้น แต่หากรับแคลเซียมต่ำกว่า 780 mg./ วัน จะให้ผลตรงกันข้าม
2. Premenstrual Syndrome
แพทย์ระบบต่อมไร้ท่อจาก St. Luke Roosevelt Hospital ได้ทำการศึกษาภาวะทางร่างกายและอารมณ์ ในสตรี 497 คน ซึ่งรับประทานแคลเซียม 1,200 mg./ วัน พบว่ามากกว่าครึ่งหนึ่ง มีอาการของภาวะสตรีวัยทองลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ ภาวะอารมณ์ที่แปรปรวน ซึมเศร้า กังวล กระวนกระวาย หรือภาวะทางกายอื่นๆ เช่นคัดเต้านม รู้สึกแน่นท้องหลังรับประทานอาหาร หรืออาการเจ็บปวดทางกายอื่นๆ
3. Controlling Blood Pressure
พบว่าหากมีการรับประทานแคลเซียมสูงถึง 1,300 mg./ วัน จะช่วยลดความเสี่ยงของการมีความดันโลหิต สูงได้ถึง 12 % และหากเป็นผู้ที่อายุต่ำกว่า 40 จะช่วยลดความเสี่ยงได้ถึง 25 % เมื่อเทียบกับผู้ที่ทานแคลเซียมต่ำ
4. Lowering Blood Cholesterol
พบว่าสูตรอาหารที่มีแคลเซียมสูงจะช่วยลด Total Cholesterol ได้ 6 % ขณะที่ LDL- Cholesterol จะลด ได้ถึง 11 % ส่วน HDL-Lipid Profile ไม่เปลี่ยนแปลง
5. Preventing Stroke
การศึกษาความสัมพันธ์ของสตรีที่รับประทานแคลเซียมสูง จำนวน 85,767 คน ซึ่งอยู่ในกลุ่มอายุตั้งแต่ 35-59 ปีกับความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองอุดตัน พบว่าแคลเซียมสามารถป้องกันความเสี่ยงของการเกิดโรคได้สูงถึง 32 % เลยทีเดียว
6. Fighting Osteoporosis
แคลเซียมถือว่าเป็นธาตุอาหารหลักที่มีผลต่อความแข็งแรงของกระดูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสตรี ซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดกระดูกพรุน การแตกหักของกระดูกบริเวณต่างๆของร่างกาย เช่นสะโพก หากมีการรับประทานร่วมกับวิตามิน D จะช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมได้
7. Colon Cancer
นักวิจัยได้ค้นพบความสัมพันธ์ของการรับประทานแคลเซียมกับแนวโน้มของการเกิดมะเร็งลำ ไส้ใหญ่ พบว่าแคลเซียมสามารถป้องกันการเจริญของเนื้อเยื่อที่จะพัฒนาไปเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
8. Pregnancy
นอกจากแคลเซียมจะช่วยในเรื่องความแข็งแรงของกระดูกแล้ว แคลเซียมยังส่งผลโดยตรงต่อพัฒนาการ ต่างๆรวมถึงสุขภาพและความสมบูรณ์ของทารกได้ และยังรวมถึงคุณแม่ด้วย เนื่องจากมีความจำเป็น ในการเสริมสร้าง กระดูกของทารกให้แข็งแรง โดยเฉพาะในระยะไตรมาสสุดท้าย (3 เดือนก่อนคลอด) และยังช่วยเพิ่มกำลังให้กล้ามเนื้ออีกด้วย วันหนึ่งร่างกายของแม่ต้องการแคลเซียม 0.8-2.0 กรัม
สาระสำคัญและประโยชน์จากการรับประทานแคลเซียมดังที่กล่าวมาแล้วนั้น น่าจะเป็นเรื่องรอบตัวของคุณๆทุกคน ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าหากคุณรับประทานแคลเซียมอย่างสม่ำเสมอและเพียงพอ แคลเซียมก็จะเป็นส่วนหนึ่งให้จะช่วยดูแลสุขภาพของคุณให้แข็งแรงต่อไป
ที่มา:
http://nurse.hcu.ac.th/t6.html
http://health.allrefer.com/health/calcium-in-diet-sources.html
นิตยสารแม่และเด็ก ปีที่ 21 ฉบับที่ 318 สิงหาคม 2541
หนังสือผักและสุขภาพ (Vegetatble & Health) นิดดา หงษ์วิวัฒน์ และสุภาพรรณ เยี่ยมชัยภูม
หน้า 131
ขอบคุณงับ มีบันทึกการอ่านส่งครูพอดีเลย อิอิ - -
ขอขอบคุณสำหรับวิธีดูแลสุขภาพหลากหลายของอาจารย์มาก
ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่สนใจเรื่องการดูแลสุขภาพให้สมบูรณ์สูงสุด
เพราะการมีสุขภาพดี เพิ่มกำไรชีวิต
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ เกี่ยวกับแคลเซียมครับ