แนวคิดเกี่ยวกับทฤษฎีจิตวิทยาการเรียนรู้ก่อนการสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนตามที่ศึกษามาดังนี้
ทฤษฎีหลัก ๆ
ที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ของมนุษย์และส่งผลต่อแนวคิดในการออกแบบโครงสร้างของCAI
ได้แก่ ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม ทฤษฎีปัญญานิยม
ทฤษฎีโครงสร้างความรู้และทฤษฎีความยืดหยุ่นทางปัญญา
(ถนอมพร เลาหจรัสแสง, 2541: 51-56) โดยมีแนวคิดดังนี้
1.1 ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behavioral Theories)
ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม
(Behavioral Theories) เป็นทฤษฎีซึ่งเชื่อว่า
จิตวิทยาเป็นเสมือนการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ของพฤติกรรมมนุษย์
(Scientific Study of Human Behavior)
และการเรียนรู้ของมนุษย์เป็นสิ่งที่สามารถสังเกตได้จากพฤติกรรมภายนอก
นอกจากนี้ยังมีแนวคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง
(Stimulus and Response)
ซึ่งเชื่อว่าการตอบสนองของสิ่งเร้าของมนุษย์จะเกิดขึ้นควบคู่กันในช่วงเวลาที่เหมาะสม
นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการเรียนรู้ของมนุษย์เป็นพฤติกรรมแบแสดงอาการกระทำ
(Operant Conditioning) ซึ่งมีการเสริมแรง
(Reinforcement)
ดังนั้นโครงสร้างของบทเรียนจะมีลักษณะเชิงเส้นตรง
โดยผู้เรียนทุกคนจะได้รับการเสนอเนื้อหาตามลำดับ
จากง่ายไปหายาก ซึ่งเป็นลำดับที่ผู้สอนพิจารณาแล้วว่า
เป็นลำดับการสอนที่ดีและผู้เรียนจะสามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
1.2 ทฤษฎีปัญญานิยม (Cognitive Theories)
เกิดขึ้นจากแนวคิดของชอมสกี้ (Chomsky)
ที่ไม่เห็นด้วยกับสกินเนอร์ (Skinner)
บิดาของทฤษฎีพฤติกรรมนิยมในการมองพฤติกรรมมนุษย์ไว้ว่าเสมือนการทดลองทางวิทยาศาสตร์
ชอมสกี้เชื่อว่าพฤติกรรมมนุษย์นั้นเป็นเรื่องของภายในจิตใจมนุษย์ไม่ใช่ผ้าขาวที่เมื่อใส่สีอะไรลงไปก็จะกลายเป็นสีนั้น
มนุษย์มีความนึกคิด และความรู้สึกภายในที่แตกต่างกันออกไป
ดังนั้น การออกแบบการเรียนการสอน
ก็ควรที่จะคำนึงถึงความแตกต่างของมนุษย์ด้วย
ในช่วงนี้มีความคิดต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย เช่น
แนวคิดเกี่ยวกับการจำได้แก่ความจำระยะสั้น
ความจำระยะยาวและความคงทนของความจำ
แนวคิดเกี่ยวกับการแบ่งความรู้ออกเป็น 3 ลักษณะ
คือ ความรู้ในลักษณะที่เป็นขั้นตอน (Procedural
Knowledge) ซึ่งได้แก่ความรู้ในลักษณะเป็นการอธิบาย
(Declarative Knowledge) ซึ่งได้แก่ความรู้ที่อธิบายว่า
คืออะไรและความรู้ในลักษณะที่เป็นเงื่อนไข (Conditional
Knowledge) ซึ่งได้แก่ความรู้ที่อธิบายว่าเมื่อไร
ทำไม ซึ่งความรู้ทั้ง 2
ประเภทหลังนี้ไม่ต้องการลำดับการเรียนรู้ที่ตายตัว
ทฤษฎีปัญญานิยมทำให้เกิดแนวคิดเกี่ยวกับการออกแบบในลักษณะสาขา
ของคราวเดอร์ ซึ่งการออกแบบบทเรียนในลักษณะสาขา
จะทำให้ผู้เรียนมีอิสระมากขึ้น
ในการควบคุมการเรียนของตนเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีอิสระมากขึ้นในการเลือกลำดับเนื้อหาของบทเรียนที่เหมาะสมกับตน
โดยผู้เรียนสามารถเลือกเรียนได้ตามความสนใจ
1.3 ทฤษฎีโครงสร้างความรู้ (Schema
Theory)และทฤษฎีความยืดหยุ่นทางปัญญา (Cognitive Flexibility
Theory)
ทฤษฎีโครงสร้างความรู้เชื่อว่าโครงสร้างภายในของความรู้ที่มนุษย์มีอยู่นั้นจะมีลักษณะเป็นโหนด
หรือกลุ่มที่มีการเชื่อมโยงกันอยู่
ในการที่มนุษย์เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ นั้น มนุษย์จะนำความรู้ใหม่ ๆ
ที่ได้รับนั้นไปเชื่อมโยงกับกลุ่มความรู้ที่มีอยู่เดิม (Preexisting
Knowledge) รูเมลอาร์ทและออโทนี่ (Rumelhart & Ortony,
1997) ได้ให้นิยามของ คำว่า
โครงสร้างความรู้ไว้ว่าเป็นโครงสร้างข้อมูลภายในสมองของมนุษย์ซึ่งรวบรวมความรู้เกี่ยวกับวัตถุ
ลำดับเหตุการณ์ รายการกิจกรรมต่าง ๆ เอาไว้
หน้าที่ของโครงสร้างความรู้นี้ก็คือ
การนำไปสู่การรับรู้ของข้อมูล ( Perception)
การรับรู้ข้อมูลจะเกิดขึ้นไม่ได้หากขาดโครงสร้างความรู้
(Schema)
ทั้งนี้ก็เพราะการรับรู้ข้อมูลนั้นเป็นการสร้างความหมายโดยการถ่ายโอนความรู้ใหม่เข้ากับความรู้เดิมภายในกรอบความรู้เดิมที่มีอยู่และจากการกระตุ้นโดยเหตุการณ์หนึ่ง
ๆ ที่ช่วยให้เกิดการเชื่อมโยงความรู้นั้น ๆ
เข้ากันด้วย
การรับรู้เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดการเรียนรู้
เนื่องจากไม่มีการเรียนรู้ใดเกิดขึ้นได้โดยปราศจากการรับรู้
นอกจากโครงสร้างความรู้จะช่วยในการรับรู้และการเรียนรู้แล้วนั้น
โครงสร้างความรู้ยังช่วยในการระลึก (Recall) ถึงสิ่งต่าง ๆ
ที่เราเคยเรียนรู้มา (Anderson . 1984)
ทฤษฎีความยืดหยุ่นทางปัญญาเชื่อว่าความรู้แต่ละองค์ความรู้นั้นมีโครงสร้างที่แน่นอน
และสลับซับซ้อนแตกต่างกันไป โดยองค์ความรู้ประเภทสาขาวิชา
เช่น คณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์กายภาพนั้น
ถือว่าเป็นองค์ความรู้ประเภทที่มีโครงสร้างตายตัว
ไม่สลับซับซ้อน
ในขณะเดียวกันองค์ความรู้บางประเภทสาขาวิชา เช่น
จิตวิทยาถือว่าเป็นองค์ความรู้ประเภทที่ไม่มีโครงสร้างตายตัวและสลับซับซ้อน
เพราะความไม่เป็นเหตุผลของธรรมชาติขององค์ความรู้
แนวคิดในเรื่องความยืดหยุ่นทางปัญญานั้นส่งผลให้เกิดความคิดในการออกแบบบทเรียนเพื่อตอบสนองต่อโครงสร้างขององค์ความรู้ที่แตกต่างกัน
2. จิตวิทยาที่เกี่ยวเนื่องกับการออกแบบ CAI
แนวความคิดทางด้านจิตวิทยาพุทธพิสัยเกี่ยวกับการเรียนรู้ของมนุษย์
ที่เกี่ยวเนื่องกับการออกแบบ CAI ได้แก่
ความสนใจและการรับรู้อย่างถูกต้อง การจดจำ
ความเข้าใจ ความกระตือรือร้นในการเรียน แรงจูงใจ
การควบคุมการเรียน การถ่ายโอนการเรียนรู้
และการตอบสนองความแตกต่างรายบุคคล
2.1
ความสนใจและการรับรู้อย่างถูกต้อง
ทำให้เกิดการเรียนรู้ที่ง่ายดายและเที่ยงตรงที่สุด
การที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดความสนใจกับสิ่งเร้าและรับรู้สิ่งเร้าต่าง ๆ
อย่างถูกต้องนั้น
ผู้สร้างบทเรียนต้องออกแบบบทเรียนโดยคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ
ตัวอย่างได้แก่ รายละเอียดและความเหมือนจริงของบทเรียน
การใช้สื่อประสมและการใช้เทคนิคพิเศษต่าง ๆ เข้ามาเสริมบทเรียน
เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ ไม่ว่าจะเป็น
การใช้เสียง การใช้ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว
นอกจากนี้ผู้สร้างยังต้องพิจารณาถึงการออกแบบหน้าจอ
การวางตำแหน่งของสื่อต่าง ๆ บนหน้าจอ
รวมทั้งการเลือกชนิดและขนาดของตัวอักษรหรือการเลือกสีที่ใช้ในบทเรียนอีกด้วย
2.2 การจดจำ
ผู้สร้างบทเรียนต้องออกแบบบทเรียนโดยคำนึงถึงหลักเกณฑ์สำคัญที่จะช่วยในการจดจำได้ดี
2 ประการคือ
หลักในการจัดระเบียบหรือโครงสร้างเนื้อหา
และหลักในการทำซ้ำ
ซึ่งสามารถแบ่งการวางระเบียบหรือการจัดระบบเนื้อหาออกเป็น
3 ลักษณะด้วยกันคือ ลักษณะเชิงเส้นตรง
ลักษณะสาขา และลักษณะสื่อหลายมิติ
2.3 ความเข้าใจ
ผู้สร้างบทเรียนต้องออกแบบบทเรียนโดยคำนึงถึง
หลักการเกี่ยวกับการได้มาซึ่งแนวคิด และการประยุกต์ใช้กฎต่าง ๆ
ซึ่งหลักการทั้งสองนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับแนวคิดในการออกแบบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์
ในการทบทวนความรู้ การให้คำนิยามต่าง ๆ
การแทรกตัวอย่างการประยุกต์กฎ
และการให้ผู้เรียนเขียนอธิบายโดยใช้ข้อความของตน
โดยมีวัตถุประสงค์ของการเรียนเป็นตัวกำหนดรูปแบบ
การนำเสนอหนังสืออิเล็กทรอนิกส์และกิจกรรมต่าง ๆ ในบทเรียน
เช่น การเลือกออกแบบแบบฝึกหัดหรือแบบทดสอบในลักษณะปรนัย
หรือคำถามสั้น ๆ เป็นต้น
2.4
ความกระตือรือร้นในการเรียน
การที่จะออกแบบบทเรียนที่ทำให้เกิดความกระตือรือร้นในการเรียนได้นั้น
จะต้องออกแบบให้ผู้ใช้มีปฏิสัมพันธ์กับบทเรียนอย่างสม่ำเสมอ
และปฏิสัมพันธ์นั้น ๆ
จะต้องเกี่ยวข้องกับเนื้อหาและเอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน
2.5 แรงจูงใจ ได้แก่
ทฤษฎีแรงจูงใจภายในและแรงจูงใจภายนอกของเลปเปอร์
ซึ่งเชื่อว่าแรงจูงใจที่ใช้ในบทเรียน
ควรจะเป็นแรงจูงใจภายในหรือแรงจูงในที่เกี่ยวเนื่องกับบทเรียนมากกว่าแรงจูงใจภายนอกซึ่งเป็นแรงจูงใจที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับบทเรียน
การสอนที่ทำให้เกิดแรงจูงใจภายในก็คือ
การสอนที่ผู้เรียนรู้สึกสนุกสนาน
เลปเปอร์ได้เสนอแนะเทคนิคในการออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ที่ทำให้เกิดแรงจูงใจภายในไว้ดังนี้
2.5.1 การใช้เทคนิคของเกมในบทเรียน
2.5.2 ใช้เทคนิคพิเศษในการนำเสนอภาพ
2.5.3 จัดหาบรรยากาศการเรียนรู้
ที่ผู้เรียนสามารถมีอิสระในการเลือกเรียนและหรือสำรวจสิ่งต่าง ๆ
รอบตัว
2.5.4
ให้โอกาสผู้เรียนในการควบคุมการเรียนของตน
2.5.5 มีกิจกรรมที่ท้าทายผู้เรียน
2.5.6
ทำให้ผู้เรียนเกิดความอยากรู้อยากเห็น
2.6 การออกแบบการควบคุมบทเรียน ซึ่งได้แก่
การควบคุมลำดับการเรียน เนื้อหา ประเภทของบทเรียน
ฯลฯ การควบคุมบทเรียนมีอยู่ 3 ลักษณะ
คือ การให้โปรแกรมเป็นผู้ควบคุม
การให้ผู้เรียนเป็นผู้ควบคุม
และการผสมผสานระหว่างโปรแกรมและผู้เรียน
ในการออกแบบนั้นควรพิจารณาการผสมผสานระหว่างการให้ผู้เรียนและโปรแกรมเป็นผู้ควบคุมบทเรียน
และบทเรียนจะมีประสิทธิภาพอย่างไรนั้น
ก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการออกแบบการควบคุมของทั้ง 2
ฝ่าย
2.7 การถ่ายโอนความรู้
โดยปกติแล้วการเรียนรู้จาก CAI นั้น
จะเป็นการเรียนรู้ในขั้นแรกก่อนที่จะมีการนำไปประยุกต์ใช้จริง
การนำความรู้ที่ได้จากการเรียนในบทเรียนและขัดเกลาแล้วนั้นไปประยุกต์ใช้ในโลกจริงก็คือ
การถ่ายโอนการเรียนรู้นั่นเอง
สิ่งที่มีอิทธิพลต่อความสามารถของมนุษย์ในการถ่ายโอนการเรียนรู้
ได้แก่ ความเหมือนจริงของบทเรียน ประเภท
ปริมาณ และความหลากหลายของปฏิสัมพันธ์
การถ่ายโอนการเรียนรู้จึงถือเป็นผลการเรียนรู้ที่พึงปรารถนาที่สุด
2.8 ความแตกต่างรายบุคคล
ผู้เรียนแต่ละคนมีความเร็วช้าในการเรียนรู้แตกต่างกันไป
การออกแบบให้บทเรียนมีความยืดหยุ่นเพื่อที่จะตอบสนองความสามารถทางการเรียนของผู้เรียนแต่ละคนได้เป็นสิ่งสำคัญ
สรุปแล้วข้าพเจ้าคิดว่าก่อนที่จะสร้าง CAI
สักเรื่องหนึ่งเพื่อจะให้ไม่เสียเวลาเปล่าควรจะให้เวลากับการศึกษาทฤษฎีจิตวิทยาการเรียนรู้เสียก่อนเพื่อจะได้บทเรียนCAI
ที่เหมาะสมกับผู้เรียนอย่างแท้จริง
ข้อควรคำนึงต้องเน้นการนำเสนอสื่อประเภทต่าง ๆ
เพื่อสร้างความสนใจและการรับรู้อย่างถูกต้องเป็นหลักในการสร้าง
อันดับรองลงมาเป็นเรื่องของแรงจูงใจ รวมทั้งทฤษฎีจิตวิทยาอื่น
ๆ ให้มีคุณภาพ
55555+