เพื่ออนาคต...ต้องรู้อดีต
เรียนรู้จากงานวิจัย
ในเส้นทางการเดินสู่เป้าหมาย
นอกจากกลุ่มองค์กรทั้งรัฐและเอกชนที่ชุมชนอาคารสงเคราะห์ได้เกาะเกี่ยวเป็นพันธมิตรด้วยแล้วนั้น
หน่วยงานหนึ่งที่ชุมชนยังเข้าร่วมในกิจกรรมมาอย่างต่อเนื่อง คือ
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)สำนักงานภาค
ในนามสถาบันกรุงเก่าเพื่อการพัฒนา
บ่อยครั้งที่”เจริญ”มีโอกาสเข้าไปร่วมฟัง
และร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับกลุ่มคนในเครือข่ายวิจัยอื่น ๆ
พร้อมกับได้ฟังแนวคิด “งานวิจัยเพื่อท้องถิ่น”
และเขาคิดว่านี่อาจเป็นอีกโอกาสหนึ่งที่ชาวบ้านในชุมชนอาคารสงเคราะห์จะได้ร่วมกัน
“บันทึก”ประวัติศาสตร์ที่ได้ร่วมต่อสู้ ร่วมสร้าง
และพัฒนาชุมชนมาด้วยกัน
“เจริญ”
กลับมาพูดคุยกับชาวบ้าน หารือและอธิบาย แนวคิด วัตถุประสงค์
และเป้าหมายสำคัญของการต้องทำวิจัย ว่าจะเริ่มต้นโครงการกันอย่างไร
คำตอบที่จะร่วมกันค้นหาคืออะไร
เพื่อให้ได้ประเด็นที่คนในชุมชนต้องการ
เมื่อได้ประเด็นที่ครอบคลุมและครบถ้วน
ทีมวิจัยซึ่งมีเจริญเป็นหัวหน้าโครงการ
ได้ประชุมเพื่อกำหนดประเด็นร่วมกัน พร้อมทั้งแบ่งกลุ่ม
จัดทีมเก็บข้อมูลออกเป็น 5 กลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มจะมีแนวคำถามคร่าว ๆ
ที่ทีมวิจัยและชาวบ้านช่วยกันกำหนด
ทั้งนี้อยู่ภายใต้เนื้อหาที่ถูกแบ่งออกเป็น 4 ยุค คือ
ยุคก่อตั้ง ยุคเปลี่ยนวิถีชีวิต ยุคกิจกรรม
และยุคสร้างสวัสดิการ
ทำงานร่วมกัน เรียนรู้ข้ามรุ่น หาความรู้จากข้างในของชุมชน
4 ยุค
กุศโลบายอย่างหนึ่งที่ทีมวิจัยใช้เพื่อให้เด็ก ๆ รับรู้เรื่องราว
กระบวนการการต่อสู้ รวมไปถึงทิศทางในอนาคตของชุมชนคือ การให้เด็ก ๆ
แบ่งกลุ่มและออกไปสัมภาษณ์ พูดคุยกับผู้สูงอายุในชุมชน
ด้วยคำถามที่ตัวเด็ก ๆ อยากรู้ โดยมีกรอบ
หรือแนวคำถามที่ทีมวิจัยร่วมกันกำหนดขึ้น
ทำให้ได้ข้อมูลประวัติศาสตร์ชุมชนในแต่ละยุค คือ
ยุคก่อตั้ง
(พ.ศ.2502- 2509) เป็นข้อมูลการเข้ามาอาศัยของคนในรุ่นแรก ๆ
ข้อมูลด้านทำมาหาเลี้ยงชีพ สภาพแวดล้อมในชุมชน
ตลอดจนปัจจัยจากภายนอกที่มีผลกระทบต่อการเปลี่นแปลงของชุมชนทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ
ทั้งนี้เพื่อให้กลุ่มเยาวชนที่ร่วมกันเก็บข้อมูลซึ่งเป็นเด็กรุ่นลูก
รุ่นหลาน ได้เรียนรู้ถึงสภาพของชุมชน
สภาพชีวิตและความเป็นอยู่อย่างเรียบง่ายของกลุ่มคนในยุคแรก ๆ
และเกิดความภาคภูมิใจในความเป็นสมาชิกของชุมชนอาคารสงเคราะห์
ยุคเปลี่ยนวิถีชีวิต (พ.ศ.2510- 2525)
มีการเปลี่ยนแปลงในยุคนี้หลายอย่าง
โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ส่งผลกระทบต่อสภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของคนทั้งชุมชน
กล่าวคือ ชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพขายอาหารตรงบริเวณสถานีขนส่ง
กระทั่งเมื่อทางการย้ายสถานีออกไปนอกเมือง
และมีการสร้างด่านเก็บเงินที่ อ.บางปะอิน
ชาวบ้านมีรายได้มากขึ้น มีเครื่องอำนวยความสะดวกมากขึ้น
ชาวบ้านใช้คำว่า “ความฟุ่มเฟือยเดินหน้าเข้ามาในชุมชน”
บางรายกินยาบ้าเพื่อให้ทำงานได้มาก ๆ และต่อมา “กรมทางหลวง”
มีมาตรการห้ามขายของที่ด่าน
ลุงยงค์จึงพากลุ่มชาวบ้านเพื่อเรียกร้องต่อ ส.ส.มนตรี พงษ์พานิช
ในสมัยนั้น ข้อมูลในยุคนี้
ทำให้กลุ่มเด็กเรียนรู้วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป ภายใต้เงื่อนไขต่าง
ๆ
ยุคกิจกรรม
(พ.ศ.2526-2538)เปลี่ยนจากผู้นำรุ่นแรกมาเป็นรุ่นลูก (เจริญ ขันธรูจี)
มีกิจกรรมเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในชุมชนที่สำคัญคือ ปัญหาสิ่งแวดล้อม
การไปปฎิสัมพันธ์กับคนภายนอกมากขึ้น เช่น การทำผ้าบาติก
ยุคสร้างสวัสดิการชุมชน (พ.ศ.2539 – ปัจจุบัน)
หลังน้ำท่วมใหญ่ในปี 2538 ชุมชนอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่
ชาวบ้านเริ่มกลับมาทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
และคิดจะยกระดับคุณภาพชีวิตจึงเริ่มจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์ กลุ่มอาชีพ
ตลอดจนการพัฒนาที่อยู่อาศัยจนกระทั่งกลายเป็นชุมชนต้นแบบในที่สุด
คลังความรู้จากการทำงานวิจัย
การให้เด็ก ๆ ออกไปเก็บข้อมูล
เป็นเสมือนการให้กลุ่มเด็กได้รับรู้พัฒนาการของชุมชน ปัญหา
ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ตลอดจนทิศทางที่จะก้าวเดินต่อไปในอนาคต
เพราะกลุ่มเยาวชนในพื้นที่จะต้องเป็นผู้ที่มารับช่วงการดูแลชุมชนต่อจากกลุ่มผู้ใหญ่
การวาดภาพประทับใจของกลุ่มเด็กที่ออกไปเก็บข้อมูล
ซึ่งเป็นภาพสะท้อนชีวิตในอดีต เช่น ภาพในยุคก่อตั้ง
ที่มีก็อกน้ำกลางหมู่บ้านเพียงอันเดียว แต่ใช้ทั้งหมู่บ้าน
มีการถามทุกข์สุขกัน ทำให้รู้ว่าใครทำอะไร
ภาพวิ่งไล่รถบัสเพื่อขายของ
ภาพการช่วยเหลือกันพัฒนาหมู่บ้าน
รวมถึงภาพการทำบาติก มีการทำแผนที่ชุมชน
มีทั้งการทำแผนที่ภายในและภายนอกชุมชน วิธีการคือ ให้เด็ก ๆ
แบ่งออกเป็น 2 ทีม คือทีมทำแผนที่ภายใน และภายนอก เด็ก ๆ
จะคิดวิธีการของเขาขึ้นมาเอง เช่น วัดระยะจากชุมชนไปที่วัด
หรือไปยังสถานสำคัญ ๆ ด้วยการนับก้าวจากนั้นก็นำแผนที่ซึ่งเป็น
“แบบร่าง”
มาสรุปกันอีกครั้งโดยมีผู้ใหญ่ในชุมชนเป็นคนให้คำปรึกษา
และเติมข้อมูลในส่วนที่ยังไม่ครบ
นอกจากนี้ยังมีการทำผังเครือญาติของคนในชุมชน โดยเฉพาะในตระกูลหลัก ๆ
และตระกูลที่ทำคุณประโยชน์ต่อชุมชน นอกจากนี้เด็ก ๆ
ยังมีการจัดเสียงตามสายในชุมชนอีกด้วย
ข้อมูลที่ได้จึงถูกเก็บไว้ในรูปแบบที่หลากหลายทั้งบันทึก ภาพวาด
แผนที่ ผังเครือญาติ ฯลฯ
ครูมานัส
ปิยะวงศ์ หัวหน้ากลุ่มเด็กและเยาวชน กล่าวว่า
การทำงานในโครงการนี้ จะส่งผลให้เด็กและคนในชุมชนเข้าใจซึ่งกันและกัน
เด็กที่ร่วมโครงการจะเข้าใจระบบการทำงานเป็นกลุ่ม รู้จักเขียน
รู้จักอ่านมากขึ้น
เป็นการเรียนรู้นอกโรงเรียน จากเด็กก้าวร้าว ติดยา
เปลี่ยนเป็นคนที่ดีขึ้น เหมือนขัดเกลา
การเรียนรู้วิธีการจัดการ การออกไปเก็บข้อมูลแต่ละกลุ่ม(ประมาณ
5 คน) ก็แบ่งหน้าที่กันว่าใครถาม ใครจด ใครอัดเทป
และใครที่ไปเป็นเพื่อนคอยให้กำลังใจ เป็นต้น
โดยมีผู้ใหญ่เป็นพี่เลี้ยง
ปัญหาที่พบเมื่อเด็ก ๆ ออกไปสัมภาษณ์ผู้เฒ่าผู้แก่คือ
บางครั้งผู้สูงอายุเสียชีวิตไปก่อน ทำให้ต้องเร่งเก็บข้อมูลกัน
การเข้าไปโดยไม่เตรียมตัว เข้าไปไม่ถูกกาละเทศะ เช่น
ผู้ใหญ่กำลังทะเลาะกัน หรือใช้คำถามไม่เป็น จึงกลับมาทบทวนและเชิญ
พี่หนูกับพี่ต้อง จาก สสจ. มาเป็นพี่เลี้ยงสอนเรื่องเตรียมตัว
เทคนิคการไปเก็บข้อมูล เช่น ไปสัมภาษณ์ยายที่กำลังตากผ้า
ก็ต้องเข้าไปช่วยตากผ้าก่อน ชวนคุยเรื่องตากผ้า
แล้วค่อยโยงไปเรื่องที่กลุ่มต้องการ เมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว
ทีมวิจัยหลักจะตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง ว่า
สำนวนตรงนี้อ่านเข้าใจไหม
แล้วส่งให้เด็กที่มีหน้าที่จัดพิมพ์เข้ารูปเล่ม
ทำอย่างนี้ในการศึกษาแต่ละยุค เสร็จแล้ว
เด็กมานำเสนอในเวทีรายงานผลให้ชุมชนทราบถึงข้อมูลที่ได้มา
เป็นการตรวจสอบ ร่วมทั้งเชิญนักวิชาการมาช่วยชี้แนะ
การทำตรงนี้ให้เด็กเป็นตัวหลัก
ผู้ใหญ่เป็นตัวหนุนและดันตามศักยภาพและความถนัดของเด็ก
กระบวนการเรียนรู้ที่ยังเคลื่อนต่อ
จะเห็นได้ว่า ...
ชุมชนอาคารสงเคราะห็ได้กำหนดเป้าหมายไว้ร่วมกันอย่างชัดเจน
ปัจจัยที่ทำให้ชุมชนอาคารสงเคราะห์เข้มแข็ง ก็คือการมีผู้นำที่ดี
เป็นคนในพื้นเพในชุมชน เข้าใจและมุ่งมั่นพัฒนาชุมชน
เรียนรู้การต่อสู้ในอดีต มีการรวมตัวของชุมชน
ใช้ความรู้ในการแก้ปัญหา มีกติการร่วมกัน
ใช้วิกฤติเป็นแรงให้เกิดความร่วมมือ
คนในชุมชนมีความร่วมมือกันอย่างอัตโนมัติ
มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างเป็นปกติวิสัย
รู้สึกผูกพันและเป็นเจ้าของชุมชนร่วมกัน
พยายามดึงและส่งเสริมศักยภาพของเยาวชนตามความถนัด
กระบวนการจัดการความรู้ที่ทำให้ชุมชนเข้มแข็ง คือ เป็นชุมชนที่
สร้างความรู้ใช้เอง ขยาย ถ่ายทอด ลองทำอยู่ตลอดเวลา
มีการหาความรู้จากภายนอกมาปรับใช้ในชุมชนอยู่ตลอดเวลา
สร้างเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้กลางชุมชน
เชื่อมโยงความรู้ของแต่ละกลุ่มในชุมชนเพื่อสร้างเป้าหมายของการพัฒนาชุมชนร่วมกัน
เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อพัฒนาชุมชนอยู่ตลอดเวลาจากหน่วยงานหรือภาคีต่าง
ๆ ที่เข้ามาช่วยสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็น สสจ. มหิดล ราชการ
ชุมชนอื่น มีการถ่ายทอดความรู้
มีการจดบันทึกหลายรูปแบบ
มีการตรวจสอบความถูกต้องของ “ขุมความรู้”
และนำมาปรับแก้ตลอดเวลา ใช้ความรู้ชุดเล็กๆเป็นตัว
ใช้ระบบพี่เลี้ยง (peer assist) และมีการให้รางวัล (พาไปดูงาน)
ซึ่งกระบวนการเช่นนี้ทำให้เกิดพลังชุมชนที่จะร่วมกันนำพาชุมชนอาคารสงเคราะห์ให้ก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคง.
นายเจริญ ขันธรูจี
ประธานเคหะสถาน อาคารสงเคราะห์ทรัพย์เจริญ อยุธยา
ชุมชนอาคารสงเคราะห์ อยุธยา ต.หอรัตนชัย อ.เมือง
จ.พระนครศรีอยุธยา
โทร. 0-9007-8452
ไม่มีความเห็น