การมีอิสระในการคิดเป็นจุดเริ่มต้นของความคิดสร้างสรรค์ และการมีช่องทางในการพิสูจน์ว่าสิ่งที่คิดอยู่นั้นถูกต้องหรือไม่เป็นการวิธีการแปลงความฝันให้เป็นความจริง
การทำงานด้าน PCR
จำเป็นต้องใช้น้ำยาอยู่หลายตัว เช่น Buffer II, dNTP, Mg, primer, และ
taq polymerase ก็อย่างที่รู้ๆ กันว่าน้ำยาพวกนี้ราคาค่อนข้างแพง
ในบ้านเราก็จะเก็บกันเหมือนเป็นของมีค่า ถ้าตู้เย็นมีกุญแจล็อคได้
ในบ้านเราหลายคนก็คงล็อคตู้เย็นไปแล้ว
เพราะเกรงว่าจะมีผู้ไม่ประสงค์ออกนามมาร่วมใช้ด้วยโดยไม่ได้รับเชิญ
แต่ที่นี่เขาเก็บกันในกล่องเก็บแยกเป็นกล่องเฉพาะ คือ กล่องเก็บ
buffer ก็มีแต่เฉพาะ buffer 1 กล่อง กล่องเก็บ dNTP ก็มีกล่องเก็บ
dNTP เฉพาะ 1 กล่อง แม้แต่ taq polymerase ก็มีกล่องเก็บเฉพาะ taq
polymerase 1 กล่อง ใครจะทำทิ้งทำขว้างอย่างไรก็เชิญตามสบาย
ไม่มีการตรวจสอบด้วย
ทุกคนมีอิสระที่จะมาหยิบใช้น้ำยาเหล่านี้ได้ตามสบาย
ดังนั้นงานที่แต่ละคนต้องทำจึงมีอิสระอย่างเต็มที่ที่จะลองผิด ลองถูก
ลองไปจนกว่าจะแน่ใจ โดยไม่มีใครเข้ามาวุ่นวาย
หรือพูดจาให้ระคายเคืองใจ ผลก็คือ ความสนุกในการทำงาน
เพราะทุกอย่างที่คิดมีอิสระที่จะทำ
และพิสูจน์ว่าสิ่งที่คิดอยู่นั้นถูกต้องหรือไม่
ซึ่งในความเห็นของผมแล้ว การมีอิสระในการคิดเป็นจุดเริ่มต้นของความคิดสร้างสรรค์
และการมีช่องทางในการพิสูจน์ว่าสิ่งที่คิดอยู่นั้นถูกต้องหรือไม่
เป็นการวิธีการแปลงความฝันให้เป็นความจริง
ในขณะที่บ้านเรา อาจไม่ถูกจำกัดในการคิด แต่ละคนจะคิดอะไรก็ได้
จะถูกจะผิดอย่างไรก็เป็นแค่เพียงความคิด
ส่วนช่องทางในการพิสูจน์ว่าความคิดที่คิดอยู่นั้นถูกต้องหรือไม่
เป็นเรื่องที่ไม่มีอิสระในการทำ เพราะราคาของน้ำยาที่ค่อนข้างแพง
คงไม่มีใครอยากให้เอามาถลุงเล่น
เพื่อพิสูจน์ความคิดที่ไม่รู้ว่าจะเป็นจริงได้หรือไม่
ตอนที่ผมเรียนปริญญาโท ต้องทำ protein gel electrophoresis
แล้วต้องใช้ ladder marker
เพื่อเป็นตัวบอกขนาดว่าโปรตีนที่แยกได้มีขนาดโมเลกุลใหญ่ขนาดไหน
ความที่เป็นแล็บใหม่สำหรับผม และเป็นงานที่ไม่ค่อยได้ทำบ่อยนัก
ก็ต้องไปหาเจ้าตัว ladder marker นี่จากห้องที่ทำงานด้าน molecular
แล้วผมก็ไปขออนุญาตอาจารย์ท่านหนึ่งเพื่อขอใช้เจ้า marker ตัวนี้
อาจารย์ท่านก็มีเมตตาครับและอนุญาตให้ใช้ได้ครับ เพียงแต่มีเงื่อนไข
เงื่อนไขนั้นคือ ทุกครั้งที่ใช้ต้องมาบอก ห้ามหยิบไปใช้เองโดยพลการ
และทุกครั้งอาจารย์ต้องเป็นผู้ดูด markerให้เท่านั้น ครั้งละ 5
ไมโครลิตร ผมเล่าเรื่องนี้ไม่ได้มีเจตนาลบหลู่อาจารย์ท่านนั้น
เพราะท่านเองก็มีเมตตาอนุญาตให้ผมใช้ marker ได้
ทำให้ผมสามารถบรรจุงานด้าน protein electrophoresis
เป็นส่วนหนึ่งของปริญญานิพนธ์มหาบัณฑิตของผมได้ แต่เงื่อนไขเหล่านี้
ทำให้ไม่มีอิสระที่จะทำงาน เพราะจะ run gel
แต่ละครั้งผมต้องคอยตรวจสอบว่าอาจารย์ท่านนั้นจะอยู่หรือไม่
ติดงานสอนตอนไหนหรือเปล่า
แล้วกว่าจะหาตัวอาจารย์พบก็เป็นเรื่องที่ลำบากพอสมควร นี่แค่ marker
ที่มีราคาไม่มากนัก แล้วถ้าผมต้องขอ taq polymerase ล่ะ
อูย....ไม่กล้าคิด
การถ่ายเอกสาร
ที่นี่ให้อิสระในการถ่ายเอกสาร คุณจะถ่ายเท่าไหร่ก็ได้
สิ่งที่ทำก็เพียงแค่หยิบบัตรถ่ายเอกสารไปใส่เข้าเครื่อง
จากนั้นก็ถ่ายไปจนกว่าจะเสร็จแล้วก็มาบันทึกว่าใครถ่ายไปจำนวนเท่าไร
ทุกคนมีอิสระที่จะถ่ายอะไรก็ได้ที่เห็นว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่จะถ่าย
ในขณะที่บ้านเรา การถ่ายเอกสารเป็นเรื่องวุ่นวาย ไม่สะดวกที่จะทำ
เนื่องจากในภาควิชาฯไม่มีเครื่องถ่ายเอกสาร
ต้องให้เจ้าหน้าที่ไปถ่ายให้
ดังนั้นแต่ละเรื่องก็จะต้องผ่านการพิจารณาจากผู้เกี่ยวข้องก่อนว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องถ่ายหรือไม่
ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็ต้องพิจารณาเพิ่มด้วยว่าแล้วที่ถ่ายนั้นเป็นโควต้าใคร
เรื่องบางเรื่องต้องส่งเอกสารราชการโดยมีจำนวนเอกสารที่ต้องส่ง 7 ชุด
เวลาส่งต้องคอยตอบคำถามวุ่นวาย
สุดท้ายก็เลยไปถ่ายเอกสารเองก็ได้หมดเรื่องหมดราว
ขอเพียงแม่เจ้าประคูณช่วยดำเนินการส่งเอกสารต่อให้ก็พอ และในบางหน่วย
การใช้ laser printer
ก็เป็นเรื่องวุ่นวายที่จะต้องมีการตรวจสอบว่าเรื่องที่พิมพ์เป็นเรื่องอะไร
เหมาะสมที่จะพิมพ์หรือไม่
ถ้าเป็นเรื่องของภาคที่ไม่เกี่ยวกับหน่วยก็ให้ไปพิมพ์ที่ภาค
อะไรมันจะขนาดนั้น
ผมเข้าใจว่าการตรวจสอบและการสร้างขั้นตอนขึ้นมากลั่นกรอง
ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เพียงแต่เราคงต้อง justify
กันว่าอย่าให้มันรัดตัวจนไม่มีอิสระ
จนคนที่เกี่ยวข้องไม่อยากเข้าไปวุ่นวาย
สุดท้ายควักกระเป๋าจ่ายเองก็ได้ ไม่ใช่เงินมากมาย
เรื่องนี้ระหว่างความฟุ่มเฟือยที่ใช้กันตะบี้ตะบันไม่ใช่เรื่องราชการ
เรื่องส่วนตัวก็เอามาใช้ กับสุดโต่งอีกข้างหนึ่งคือห้ามไม่ให้ใช้ก่อน
ถ้าจะใช้ต้องผ่านการพิจารณาให้รอบคอบว่าสมควรได้ใช้จริง
จุดตรงกลางของมันคือความประหยัด คืออนุญาตให้ใช้ มีอิสระที่จะใช้
แต่ให้พิจารณาเองว่าควรเป็นเรื่องราชการหรือเรื่องของหน่วยงานเท่านั้น
เรื่องนี้ขึ้นกับมุมมอง
ว่าคุณจะมองในมุมมองไหน ถ้ามองว่าคนทั่วไปอยู่ในทฤษฎี X
คือเห็นคนเป็นคนไม่รักงาน หนีได้ก็จะหนี
เอาเปรียบหน่วยงานได้ก็จะเอาเปรียบ
วิธีการแก้ไขคือสร้างกฎระเบียบขึ้นมากำกับ
ห้ามไว้ก่อนจนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าสมควร ส่วนถ้ามองว่าคนทั่วไปอยู่ในทฤษฎี Y
คือมองว่าคนรักงาน อยากทำงานให้กับส่วนรวม
ทางออกคือให้อิสระที่จะให้คนทำงาน
สนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้คนทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ผมมั่นใจว่าหัวหน้าภาคพยาธิวิทยาคนปัจจุบัน ท่านมีมุมมองมองคนแบบทฤษฎี
Y แน่นอน แต่ในอีกหลายๆหน่วย
ผมไม่ได้สนิทด้วยก็เลยตอบไม่ได้ว่ามีมุมมองแบบไหน
แค่มุมมองที่ไม่เหมือนกัน.....การกระทำก็ต่างกันแบบสุดขั้วแล้ว