ในการเตรียมตัวไปดูงานมูลนิธิฉือจี้ที่ไต้หวัน ผมได้รับบทความของ นพ. อำพล จินดาวัฒนะ ให้มาอ่านเตรียมตัวไว้ก่อน จึงนำมาเผยแพร่ต่อ มีทั้งหมด ๕ ตอน
จิตอาสา พลังสร้างโลก (1)เกริ่นนำ
เมื่อราวเดือนกันยายน 2548 อาจารย์ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม
เล่าให้ผมฟังคร่าว ๆ ว่าท่านได้ไปดูงานของมูลนิธิพุทธฉือจี้ที่ไต้หวัน
ท่านพบเรื่องราวอันงดงามของที่นั่น มูลนิธิดำเนินงานมาได้ 40 ปีแล้ว
ใช้หลักทางพุทธศาสนาเป็นธงนำทาง มีกิจกรรมต่าง ๆ
เกิดขึ้นมากมายที่ล้วนทำเพื่อผู้อื่น
ไม่ว่าจะเป็นงานด้านสังคมสงเคราะห์ การศึกษา การแพทย์และสาธารณสุข
และวัฒนธรรม
โดยเน้นการสร้างเสริมจิตอาสาเพื่อสร้างประโยชน์สุขให้เกิดแก่ผู้อื่น
ปัจจุบันมีสมาชิกร่วมบริจาคสนับสนุนกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง 5-6
ล้านคนทั่วโลก มีอาสาสมัครทำงานแบบต่อเนื่องกว่าสองแสนคน
มีโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่ทันสมัยหลายแห่งในไต้หวัน
มีธนาคารไขกระดูกที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย
มีสถานีโทรทัศน์น้ำดีเป็นของตนเองเผยแพร่สัญญานภาพไปทั่วโลก
มีโรงเรียนอนุบาล ประถม มัธยม
จนถึงมีมหาวิทยาลัยผลิตแพทย์และบุคลากรสาขาอื่น
และมีกิจกรรมเพื่อสังคมด้านอื่นอีกมาก โดยทุกเรื่องที่ทำ
ล้วนเน้นความสำคัญต่อมิติทางมนุษย์และจิตวิญญาณอย่างเด่นชัดและเป็นรูปธรรม
ผมฟังแล้วรู้สึกประทับใจอย่างมาก แล้วในที่สุดก็เหมือนเป็นบุญวาสนา
เมื่อศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม (ศูนย์คุณธรรม)
ได้กรุณาชวนผมเดินทางไปศึกษาดูงานที่ไต้หวัน ร่วมกับคณะกว่า 40 คน
ที่มีผู้นำหน่วยงานของรัฐ ผู้นำชุมชนและอาสาสมัครที่ทำงานในชุมชน
ไปดูงานระหว่างทั้งวันที่ 23 – 27 พฤศจิกายน 2548
เมื่อไปดูไปรู้ไปเรียนจากของจริง
ก็ยิ่งทำให้ซาบซึ้งและประทับใจเป็นทวีคูณ
จึงตั้งใจว่าจะเก็บสิ่งที่ได้เรียนรู้มาถ่ายทอดให้เพื่อนคนไทยที่สนใจได้มีโอกาสร่วมเรียนรู้
ผมจึงเขียนบทความเล่าเรื่องนี้ขึ้น
เพื่อตอบแทนพระคุณแก่ทุกท่านที่เกี่ยวข้องที่ทำให้ผมได้เรียนรู้ประสบการณ์อันมีค่าสูงในครั้งนี้
การเดินทางไปดูงาน มีอาสาสมัครชุดเสื้อสีน้ำเงินกางเกงสีขาว
และชุดสีน้ำเงินของมูลนิธิพุทธฉือจี้ไต้หวันในประเทศไทย 6 ท่าน
เดินทางไปดูแลพวกเราตลอดการเดินทาง คือ คุณสุชน แซ่เฮง,
คุณสุทธิพันธุ์ เล็กวิจิตรธาดา (แคนดี้), คุณบังอร แซ่เฉิน, คุณลัดดา
แซ่หลิว, คุณวิวัฒน์ แซ่เตียง และน้องหญิง แซ่อึ้ง ทั้ง 6 ท่าน
ดูแลช่วยเหลือพวกเราเหมือนเป็นญาติสนิท
(แม้จะเพิ่งรู้จักกันเป็นครั้งแรก) ทั้งเรื่องการวางแผนการดูงาน
การจัดการ การประสานงาน การเป็นล่าม การให้ข้อมูล การบริการสารพัด
ทุกท่านตั้งใจบริการพวกเราอย่างสุภาพ อ่อนโยน ยิ้มแย้มแจ่มใส
ไม่รู้เหน็ดเหนื่อย
ทั้ง 6
ท่านเดินทางไป-กลับ
กินอยู่หลับนอนโดยอาศัยค่าใช้จ่ายที่แต่ละคนออกกันเอง
อันเป็นเอกลักษณ์ของอาสาสมัครฉือจี้ที่มีใจใฝ่บริการผู้อื่น
ไม่เบียดเบียนใคร ๆ และไม่เบียดเบียนโลก
สมกับที่ฝรั่งขนานนามพวกเขาว่า “นาง (นาย) ฟ้า สีนำเงิน” (Blue
Angle)
เพียงเริ่มต้นเท่านี้ ก็สร้างความประทับใจให้แก่พวกเราอย่างสุด ๆ
แล้วครับ
ไต้หวันรีวิว
เมื่อเอ่ยถึงไต้หวัน แต่ละคนคงคิดถึงเรื่องที่แตกต่างกัน
บางคนอาจคิดถึงประเทศที่
สส.ในสภาชอบตบตีกันจนเป็นข่าวไปทั่วโลกอยู่บ่อย ๆ
บางคนอาจคิดถึงประเทศที่มีแรงงานไทยไปรับจ้างทำงานเป็นแสนและเคยมีเหตุการณ์คนงานไทยก่อจลาจลจุดไฟเผาที่พักเพราะถูกกดขี่ข่มเหงจนเหลือทน
บางคนอาจคิดถึงนักธุรกิจไต้หวันที่เข้ามาลงทุนทำธุรกิจมากมายในประเทศไทยของเรา
ผู้ที่มีอายุมากหน่อยอาจคิดถึงจีนขาวที่อพยพหนีคอมมิวนิสต์จีนแผ่นดินใหญ่ไปตั้งรัฐบาลผลัดถิ่นที่หมู่เกาะฟอร์โมซาและประกาศตนเป็นสาธารณรัฐจีนเมื่อราว
50 ปีก่อน
บางคนอาจคิดถึงประเทศที่คนส่วนใหญ่นับถือพุทธนิกายมหายานที่เน้นการปฏิบัติธรรมด้วยการช่วยเหลือผู้อื่นตามหลักความเมตตากรุณาของพระโพธิสัตว์
ฯลฯ
ไต้หวันประกอบด้วยหมู่เกาะน้อยใหญ่ 78 เกาะ
มีเกาะไต้หวันเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุด มีเนื้อที่ 35,980 ตารางกิโลเมตร
เล็กกว่าประเทศไทยประมาณ 14 เท่า แต่มีประชากร 1 ใน 3 ของไทย (22
ล้านคนเมื่อปี 2547) ความยาวจากเหนือจรดไต้ 400 กม. ราว ๆ
ตอนเหนือของเชียงใหม่ถึงพิษณุโลก กว้าง 150 กม. ราวๆ
ชายแดนแม่ฮ่องสอนถึงเชียงใหม่
เมื่อเทียบกับประชากรที่มีอยู่จึงถือได้ว่าไต้หวันเป็นประเทศที่มีประชากรค่อนข้างหนาแน่น
มิหนำซ้ำพื้นที่ราวร้อยละ 75 เต็มไปด้วยเทือกเขา
และมีปัญหาภัยธรรมชาติทั้งแผ่นดินไหวเสมอๆ และไต้ฝุ่นหนัก ๆ
ปีละหลายลูก
ถ้าจะว่าไปแล้ว จีนไต้หวันมีประวัติศาสตร์ชาติที่ชัดเจนก็ราว 50
ปีเศษมานี้เอง
ตั้งแต่สมัยพรรคก๊กมินตั๋งแพ้ภัยคอมมิวนิสต์จีนจึงอพยพคนจีนราว 2
ล้านคนข้ามมาสมทบอยู่กับคนท้องถิ่นเดิมที่นั่น
แต่เวลาเพียงครึ่งศตวรรษ
ปรากฏว่าจีนไต้หวันถีบตัวก้าวกระโดดจากประเทศที่เต็มไปด้วยคนยากคนจนมาเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว
คนจนหมดไป ช่องว่างระหว่างคนจนคนรวยแคบลงมาก (จาก 15 เท่า ในปี พ.ศ.
2496 เหลือแค่ 4 เท่าในปี พ.ศ. 2513)
กลายเป็นประเทศแนวหน้าในเอเชียถัดจากญี่ปุ่น เกาหลีใต้
และสิงคโปร์
สรุปประวัติศาสตร์ไต้หวันโดยย่อ |
|
พ.ศ. |
ประวัติศาสตร์ |
2167 |
ดัทช์ยึดครอง |
2169 |
สเปนมาแย่งไปครอง |
2184 |
ดัทช์ยึดกลับมาครอง |
2203 |
ราชวงศ์หมิงและแมนจูมายึด
ผนวกเป็นส่วนของมณฑลผูเจี้ยน |
2438 |
ญี่ปุ่นยืดไปจากจีน |
2455 |
ดร. ซุนยัด-เซ็น สถาปนา “สาธารณรัฐจีน”
หลังล้มราชวงศ์ชิงได้สำเร็จ |
2480 |
จีนเปิดศึกใหญ่กับญี่ปุ่น |
2488 |
สงครามต่อต้านญี่ปุ่นนาน 8 ปี
ญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 พรรคคอมมิวนิสต์จีนเรืองอำนาจ
จีนแผ่นดินใหญ่มีสิทธิเหนือหมู่เกาะไต้หวัน |
2492 |
พรรคก๊กมินตั๋งของ ดร.ซุนยัดเซ็น
พ่ายแพ้จีนคอมมิวนิสต์ จึงอพยพกันมาตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่ไต้หวัน
(อพยพคนมาจากจีนใหญ่ 2 ล้านคน มีคนอาศัยอยู่ก่อนแล้วราว 18 กลุ่ม
ประมาณ 12 ล้านคน) |
2514 |
จีนไต้หวันเสียสมาชิกภายในสหประชาชาติ |
2521 |
สหประชาชาติรับรองจีนเดียว
คือจีนแผ่นดินใหญ่ |
2522 |
เจียง ไคเช็ค
ประธานาธิบดีคนแรกถึงแก่กรรม เจียง จิ้ง กว๊ะ
ลูกชายขึ้นปกครองแทน |
2539 |
หลี่ เต็งฮวย
ได้เป็นประธานาธิบดีจากเลือกตั้งคนแรก (หลังยกเลิกกฎอัยการศึก
และมีรัฐธรรมนูญใช้) |
2543 |
เฉิน สุ่ย เปียน
ได้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 5 (ได้เป็นโครงการเลือกตั้งคนที่ 2, ปี พ.ศ.
2547 ได้รับเลือกเป็นสมัยที่ 2) |
มีการวิเคราะห์กันว่า
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้จีนไต้หวันพัฒนาประเทศได้อย่างก้าวหน้ามากในช่วงเวลาค่อนข้างสั้นนั้น
ส่วนหนึ่งมาจากแรงกดดันบีบคั้นทำให้คนไต้หวันและรัฐบาลไต้หวันต้องถีบตัวทะยานไปข้างหน้าอย่างไม่ชักช้า
นั่นก็คือ
1. ภัยจากธรรมชาติ
เนื่องจากหมู่เกาะไต้หวันตั้งอยู่ในแนวภูเขาไฟ
จึงเกิดปรากฎการณ์แผ่นดินไหวอยู่เสมอๆ ทั้งใหญ่และเล็ก ล่าสุดปี 2542
เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ทางตอนใต้ของเกาะ มีผู้เสียชีวิตกว่า 2,000 คน
บาดเจ็บอีกหลายพันคน นอกจากนี้ไต้หวันยังต้องเผชิญกับไต้ฝุ่นทุกปี ๆ
ละหลาย ๆ ลูก ยังความเสียหายให้แก่ชาวไต้หวันมาโดยตลอด
2.
ภัยคุกคามจากจีนแผ่นดินใหญ่ที่จ้องจะรวมจีนไต้หวันให้เป็นจีนเดียวมาโดยตลอด
ตั้งแต่พรรคก๊ก มิน ตั๋ง อพยพมาตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นใหม่ ๆ
จนถึงปัจจุบัน
ด้วยภัยคุกคามข้างต้น
มีผลทำให้ชาวจีนไต้หวันต้องเพิ่มความขมีขมันขยันขันแข็ง หนักเอาเบาสู้
ถีบตัวสร้างชาติให้เจริญก้าวหน้าเพื่อเอาชนะภาวะคุกคามทั้งหลายอย่างไม่ย่อท้อ
ไม่สิ้นหวังและไม่ยอมจำนนต่อปัญหาที่ต้องเผชิญอยู่ตรงหน้าแบบที่เรียกว่า
“สู้ยิบตา” ก็ว่าได้
“สิ่งเหล่านี้ได้บีบคั้นให้คนไต้หวันถ่ายทอดจิตวิญญาณจากรุ่นสู่รุ่นลงไปว่า
หากยังมีลมหายใจ ยังพอทำงานได้
จะต้องมีความขยันขันแข็งทำงานแข่งกับเวลา สะสมทรัพย์สมบัติให้ครอบครัว
เผื่อไว้ผจญกับภัยพิบัติที่จะมาเมื่อไหร่ก็ได้
คนไต้หวันจึงมีลักษณะขมีขมัน กระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา
เพราะถ้าไม่เช่นนั้น ก็จะถูกภัยธรรมชาติคัดสรร เช่น ฝังทั้งเป็น
หรือกวาดไปกับสายน้ำท่วมลงทะเลมหาสมุทรไปทุกปี
เหลือไว้แต่ทายาทคนไต้หวันที่มีคุณภาพ
รู้จักการปรับปรุงตัวอยู่ตลอดเวลา
จึงจะก้าวทันความเปลี่ยนแปลงและภัยพิบัติบนโลกใบนี้ได้
แม้ว่าใต้ฝุ่นจะนำภัยพิบัติมาให้ไต้หวัน แต่หากไม่มีไต้ฝุ่น
ไต้หวันในฤดูแล้ง ก็จะขาดแคลนน้ำใช้
ไต้ฝุ่นจึงเป็นชะตากรรมที่ชาวไต้หวันจำต้องเผชิญหน้าทุกปีด้วยความขมขื่น
และไต้ฝุ่นยังมีจุดดีที่สำคัญมากคือ
แรงลมพายุของใต้ฝุ่นจะช่วยขจัดมลพิษสารเคมีในท้องฟ้าให้ไต้หวันทุกปีอีกด้วย”
(จากหนังสือ
คุณลักษณะและกระบวนการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมของประเทศไต้หวัน
โดยพระเดิมแท้ ชาวหินฟ้า)
ส่วนปัจจัยด้านบวกอื่น ๆ
ที่มีส่วนทำให้จีนไต้หวันเจริญก้าวหน้าก็มีหลายประการ ได้แก่
การที่คนไต้หวันที่อพยพลี้ภัยคอมมิวนิสต์มาจากแผ่นดินใหญ่ราว 2 ล้านคน
ส่วนใหญ่เป็นระดับนำ ระดับมันสมอง มีการศึกษาระดับดี
จบการศึกษามาจากต่างประเทศจำนวนไม่น้อย มีจิตวิญญาณเลือดนักสู้
นักเผชิญภัย และมีบุคลิกของชาวจีนที่ขยันขันแข็ง ใฝ่เรียนรู้
หนักเอาเบาสู้เป็นพื้นอยู่แล้ว
ประกอบกับมีวัฒนธรรมที่เป็นผลมาจากพุทธศาสนานิกายมหายานที่สร้างให้คนจีนไต้หวันมีความนอบน้อมถ่อมตน
มีจิตใจใฝ่บริการผู้อื่น
ชอบช่วยเหลือผู้อื่นและช่วยเหลือซึ่งกันและกันไม่ทอดทิ้งกัน
เหล่านี้จึงกลายเป็นจุดแข็งของคนไต้หวันไป
(แต่คนไต้หวันที่มีลักษณะตรงข้ามนี้ก็มีเหมือนกัน
ดังจะเห็นได้จากผู้ประกอบธุรกิจชาวไต้หวันที่มีทั้งพ่อพระและนักกดขี่ฉวยโอกาส)
ในช่วง 50 ปีเศษมานี้ จีนไต้หวันพัฒนาโดยมุ่งปฏิรูปเรื่องสำคัญ ๆ
สรุปได้ 4 เรื่อง คือ
1. ปฏิรูปที่ดิน
2. ปฏิรูปทางการเมือง
3. ปฏิรูปเศรษฐกิจ
4. ปฏิรูปการศึกษา
สังคมและวัฒนธรรม
1.
การปฏิรูปที่ดิน
ในช่วงบุกเบิกของรัฐบาลเจียงไคเช็คซึ่งเป็นรัฐบาลเผด็จการ
ได้ทำการเรียกศรัทธาและความเชื่อมั่นจากประชาชนโดยเร่งดำเนินโครงการจัดสรรและปฏิรูปที่ดินเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้แก่ประชาชนส่วนใหญ่
สามารถทำสำเร็จในเวลาเพียง 4-5 ปี
ทำให้เกิดความเป็นธรรมในฐานการผลิตและที่อยู่อาศัยของผู้คนไต้หวันมาจนถึงทุกวันนี้
2.
การปฏิรูปทางการเมือง
แม้รัฐบาลเจียงไคเช็คเป็นรัฐบาลเผด็จการ
แต่ก็รู้ดีว่าจุดอ่อนสำคัญของรัฐบาลส่วนใหญ่คือปัญหาการทุจริตคอรัปชั่น
เขาจึงพยายามปิดจุดอ่อนเหล่านี้เพื่อสร้างการยอมรับแก่ประชาชนทั้งที่อพยพมาด้วยกันและคนส่วนใหญ่
(12 ล้านคน) ที่อาศัยอยู่ในไต้หวันมาก่อนแล้ว
ในขณะเดียวกันก็เตรียมการสู่การปกครองระบบประชาธิปไตย
ซึ่งในที่สุดก็ประกาศยกเลิกกฎอัยการศึก
ทำให้ไต้หวันเป็นประเทศประชาธิปไตย มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด
มีระบบ 5 อำนาจคือ หนึ่งสภานิติบัญญัติ สองสภาตุลาการ สามสภาบริหาร
สี่สภาตรวจสอบและคัดเลือกบุคลากรของรัฐ และห้าสภาควบคุมสูงสุด
(โดยทั่วไปประเทศตะวันตกจะใช้ระบบ 3 อำนาจ)
มีการเลือกตั้งทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น
ประชาชนตื่นตัวทางการเมืองสูง
เพราะต้องการมีส่วนในการกำหนดแนวทางของชาติ
ของสังคมและของชีวิตพวกเขาเองเพื่อต่อสู้กับปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ
อย่างทรนง
3. การปฏิรูปทางเศรษฐกิจ
ไต้หวันประสบความสำเร็จสูงมากในการปฏิรูปเศรษฐกิจ จนบางคนเรียกว่าเป็น
“เศรษฐกิจมหัศจรรย์”
เนื่องจากไต้หวันมีพื้นที่น้อย
แถมยังใช้ในการเกษตรได้ไม่ถึง 1 ใน 3
รัฐบาลจึงหาแนวทางสร้างเศรษฐกิจแนวอื่น
ประกอบกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือทั้งเงินทุน
วิทยาการ และเทคโนโลยี จึงเกิดโครงการลงทุนขนาดใหญ่ 10 โครงการ
ในช่วงปี ค.ศ. 2506 – 2516 เพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรม เช่น
โครงการโครงข่ายทางด่วนเหนือจรดใต้ เส้นทางรถไฟ รถไฟฟ้า
ท่าเรือที่ทันสมัย โรงไฟฟ้านิวเคลียร์
โครงข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสมัยใหม่
ถ่ายโอนเทคโนโลยีชั้นสูงเข้าประเทศโดยร่วมทุนกับอุตสาหกรรมต่างประเทศเป็นจำนวนมาก
และซื้อลิขสิทธิ์หรือแบบพิมพ์เขียวสำหรับเทคโนโลยีมาใช้และพัฒนาต่อยอดเป็นของตนเอง
มีการตั้งอุทยานเทคโนโลยี สถาบันเทคโนโลยีทางอุตสาหกรรม และอื่น ๆ
อีกมากมาย
ทำให้พัฒนาการอาชีพของคนไต้หวันเปลี่ยนไปสู่ภาคอุตสาหกรรมและบริการ
(ดูตาราง)
อาชีพ |
2493
(%) |
2530
(%) |
2547
(%) |
งานเกษตร |
27.4 |
4.9 |
1.7 |
งานบริการ |
46.0 |
52.2 |
68.8 |
งานโรงงาน |
26.6 |
42.9 |
29.5 |
มีผลทำให้ผลผลิตมวลรวมประชาชาติเติบโตถึง 700 % ในช่วงปี พ.ศ. 2495 –
2521 นอกจากนี้ยังพบว่า การกระจายรายได้มีความเป็นธรรมค่อนข้างสูง
ช่องว่างระหว่างคนมีคนจนห่างกันไม่มาก
ปัจจุบันถือได้ว่าไต้หวันเป็นประเทศที่ไม่มีคนยากจน
(รายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปี 13,200 เหรียญสหรัฐ ในปี 2543 (จาก 140
เหรียญสหรัฐในปี 2492)
ช่วงที่ผมไปอยู่ไต้หวัน 4-5 วัน ไม่เห็นขอทาน เด็กขายพวงมาลัย
หรือคนจรจัดเลย
ไต้หวันเป็นประเทศหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาด้วยมองว่า
“ความรู้คือพลังอำนาจ”
จึงมีการส่งเสริมการศึกษาทั้งในประเทศและการส่งนักศึกษาไปเรียนต่างประเทศ
มีผลทำให้คนไต้หวันมีระดับการศึกษาค่อนข้างดี
ประกอบกับเป็นคนที่มีนิสัยชอบการค้าขายอยู่เป็นทุนเดิม
จึงทำให้คนไต้หวันเป็นผู้ประกอบการ มีธุรกิจของตนเองกันมาก
และกำลังเดินทางออกไปทำธุรกิจในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
(ประมาณว่ามีนักธุรกิจไต้หวันและครอบครัวเดินทางมาทำธุรกิจอยู่ในประเทศไทยราว
150,000 คน)
ในแง่ของสังคมไต้หวันให้ความสำคัญกับการพัฒนาสิ่งแวดล้อมความเป็นระเบียบเรียบร้อย
วินัยของผู้คนเพื่อสร้างความสงบสุขมากขึ้นตามลำดับ
หลังจากที่ในช่วงพัฒนาเศรษฐกิจช่วงต้น ๆ
ก็มีผลทำให้สังคมเสื่อมโทรมลงเช่นกัน ได้แก่ เกิดปัญหามลพิษทางอากาศ
ทางน้ำ ปัญหาขยะ ฯลฯ แต่รัฐบาลได้จัดระเบียบ กำหนดกฎเกณฑ์ กติกา
วิธีการ แล้วดำเนินการอย่างเข้มงวดเอาจริงเอาจัง
ทำให้ปัจจุบันปัญหาสังคมลดน้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด
วันนี้ไต้หวันเป็นประเทศสะอาด ผู้คนมีระเบียบวินัย
รักษากฎจราจรเข้มงวด อาชญากรรมความรุนแรงน้อย เดินทางไปไหนๆ
จะเห็นตำรวจน้อยมาก
แต่เขามีระบบเทคโนโลยีคอยตรวจจับถ้าใครทำผิดกฎหมายก็จะได้รับโทษอย่างเข้มงวดไม่เลือกปฏิบัติ
อย่างเรื่องการกำจัดขยะเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมและสร้างระเบียบให้สังคมก็มีการพัฒนาการอย่างน่าสนใจ
“ก่อนหน้านี้ หากผู้คนต้องการทิ้งขยะ ก็จะเอาออกมากองสุมไว้ที่ข้างถนน
ทำให้ดูสกปรกและส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง แต่นับจากมีนโยบายปราศจากขยะบนพื้น
ออกมาในปี พ.ศ. 2540 ผู้คนต้องรอทิ้งขยะตามเวลาที่รถขยะจะไปจัดเก็บ
วิธีการนี้ ลดความสะดวกสบายลงบ้าง แต่ก็ทำให้บ้านเมืองสะอาดขึ้น
ในระยะ 4-5 ปีมานี้
ไต้หวันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในไทเปได้เพิ่มมาตรการเกี่ยวกับการจัดการขยะอีกหลายเรื่องเช่น
1. กำหนดวัน – เวลา
และประเภทขยะที่สามารถทิ้งได้ฟรี โดยไม่ต้องจ่ายค่าเก็บขยะแก่รัฐ
ซึ่งชาวบ้านจะต้องเตรียมนำถุงขยะมารอทิ้งตามจุดที่ทางการระบุไว้เป็นจุด
ๆ ในเขตเมือง ห้ามทิ้งไว้หน้าบ้าน
เป็นการให้ประชาชนรู้สำนึกถึงภาระของการเก็บขยะและรอทิ้ง
จะได้เกิดการควบคุมการซื้อหาข้าวของมาเพิ่มเป็นขยะไปในตัว
ในขณะเดียวกันก็มีการกำหนดวันเวลาและประเภทขยะที่เก็บ เช่น
บางวันเก็บเฉพาะขยะกระดาษ บางวันเก็บเฉพาะขยะพลาสติก โฟม และแก้ว
เป็นต้น ปัจจุบันนี้
เมื่อประชาชนได้ยินเสียงดนตรีเหมือนรถขายไอติมวอลล์ของบ้านเรา
ทุกคนจะรู้ทันทีว่ารถขยะกำลังมา
ก็มีหน้าที่หิ้วถุงขยะออกไปส่งให้คนเก็บขยะโดยมิชักช้า
2. หากใครไม่สะดวกที่จะแยกประเภทขยะมาทิ้งตามวันเวลาข้างต้น
ก็ต้องจ่ายเงินเพิ่ม โดยให้ประชาชนซื้อถุงพลาสติกใส่ขยะรวมได้ทุกชนิด
(ขนาดใหญ่-กลาง-เล็ก ราคาต่างกันไป) แล้วทิ้งได้ทุกวัน
แต่ก็ต้องมารอทิ้งพร้อมกับคนอื่น ตามวันเวลาที่จุดนัดพบเช่นกัน
ระบบการทิ้งขยะที่เห็นในกรุงไทเป เป็นภาพที่ประทับใจมาก
เพราะเป็นกระบวนการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมในด้านความสามัคคีที่รัฐร่วมกับประชาชน
เป็นเครื่องบอกวุฒิภาวะทางสังคมไต้หวันได้ว่า
สมรรถภาพและการศึกษาของประชาชนเริ่มให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิต
โดยไม่เพียงสนใจแค่ปัญหาปากท้องอย่างในอดีตแล้ว
และเป็นความยุติธรรมที่ใครใช้มาก ก็ต้องจ่ายมาก
ถือเป็นภาพการปรับตัวของคนไต้หวันรุ่นใหม่ ที่รักจะก้าวหน้า
ก็ยินดีที่จะช่วยกันดูแลสิ่งรอบตัวไปด้วย
ไม่ใช่โยนภาระให้กับภาครัฐฝ่ายเดียว
นับเป็นค่าวัดระดับคุณธรรมของสังคมไต้หวันได้ดีอีกทางหนึ่ง
ซึ่งเป็นการปรับปรุงคุณภาพชีวิตและพิทักษ์สิ่งแวดล้อมไปในตัว”
(พระเดิมแท้ ชาวหินฟ้า)
ในด้านวัฒนธรรม นับว่าไต้หวันมีทุนทางวัฒนธรรมสูงมาก
สะสมมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ตั้งแต่สมัยที่อพยพมา
และยังคงรักษาไว้อย่างต่อเนื่อง
ชาวไต้หวันยังมีความเชื่อถือในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์และทำพิธีกรรมทางศาสนาตามประเพณีดั้งเดิมของชาวจีนตลอดมา
มีการจุดธูปบูชาเช่นสรวงเทพเจ้าที่เคารพ
นับถือดวงวิญญาณบรรพบุรุษตามธรรมเนียมจีนอย่างเคร่งครัด
ซึ่งเป็นภาพตรงข้ามกับความเจริญรุดหน้าของบ้านเมืองและความก้าวหน้าทางธุรกิจการค้าของไต้หวัน
ชาวไต้หวันส่วนใหญ่ก็เหมือนคนจีนทั่วโลกที่ปลูกฝังอุปนิสัยให้เป็นคนมีวาจาสุภาพ
สุขุม รอบครอบ มีอารมณ์สุนทรีย์
รู้จักการรับมือกับปัญหาในชีวิตประจำวัน มีปรัชญาชีวิต
คติโบราณและศาสนธรรมแฝงอยู่ในความนึกคิด มีความอ่อนน้อมถ่อมตน
มีนิสัยใฝ่บริการ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น
ชาวไต้หวัน
93 % นับถือพุทธ(นิกายมหายาน) ขงจื้อและเต๋า 4.5 % นับถือ คริสต์ 2.5
% นับถือศาสนาอื่น
ที่น่าสนใจคือรัฐธรรมนูญไต้หวันให้เสรีภาพแก่ประชาชนเลือกนับถือศาสนา
ลัทธิ หรือความเชื่อได้อย่างอิสรเสรี
ทำให้เกิดการพัฒนาการขององค์กรและขบวนการทางศาสนาอย่างไม่ขาดสาย
มีการวิจัยพบว่าปัจจุบันมีศาสนานิกายต่าง ๆ และความเชื่อต่าง ๆ
ในไต้หวันกว่า 200 ความเชื่อ และพบว่า
องค์กรทางศาสนาเหล่านี้เองได้กลายเป็นกลุ่มมหาอำนาจด้านจิตใจของคนไต้หวันอย่างสำคัญ
ดังนั้นแม้ไต้หวันจะพัฒนาไปทางอุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างมาก
แต่สังคมไต้หวันก็ยังผูกโยงด้านจิตวิญญาณและชีวิตอยู่กับศาสนธรรมอย่างเหนียวแน่น
ซึ่งนับเป็นจุดเด่นที่สำคัญของไต้หวัน
จุดเด่นตรงนี้จึงทำให้ศูนย์คุณธรรมเกิดความสนใจที่จะศึกษาเรียนรู้
จึงได้ส่งคณะไปศึกษาดูงาน และผมก็ได้มีโอกาสเป็นหนึ่งในคณะดูงานนั้น
เมื่อได้ดูแล้วก็ให้รู้สึกประทับใจอย่างยิ่ง
จนต้องกลับมาเขียนเล่าสู่กันอ่านอยู่นี่ โดยฉบับนี้เป็นการปูพื้น
ตั้งแต่ฉบับหน้าเป็นต้นไป จะเขียนถึงเรื่องของมูลนิธิพุทธฉือจี้โดยตรง
โปรดติดตามต่อไปครับ
(ยังมีต่อ)
ผมได้แวะไปโรงพยาบาลเทพาร่วมกับทีมอาจารย์มงคล ณ สงขลา ตอนต้นเดือน พอดีคุณหมอสุวัฒน์ เพิ่งกลับมาจากไต้หวัน ได้เล่าประสบการณ์ให้ฟัง ผมได้มาเล่าให้ทีมงานฟังก็มีความสนใจและอยากจะให้มีการรับรู้และแลกเปลี่ยนกันในวงกว้าง จึงทาบทามคุณหมอสุวัฒน์ คุณหมอสุภัทร มาคุยให้ฟัง โดยคุณหมอจะเชิญ คุณหมออำพล มาด้วย จะจัดในวันที่ 15 มิถุนายน 2549 ที่ คณะแพทยศาสตร์สงขลานครินทร์ ห้อง M 103 ช่วงบ่าย 13.30-15.30น และถ้ามีผู้สนใจมากอาจย้ายไปห้องประชุมใหญ่ ใช้ชื่อว่า จิตสาธารณะ สานศรัทธา สร้างสังคม สำหรับเอกสารประชาสัมพันธ์ในพื้นที่คงออกมาสัปดาห์หน้า คุณหมอสุวัฒน์ รอ ยืนยันจากคุณหมออำพลครับ
นพ. อมร รอดคล้าย
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สาขาเขตพื้นที่(สงขลา)