การจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program :IEP)
ความเป็นมา
แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล
(Individualized Education Program :IEP)
เกิดจากการออกกฎหมายโดยรัฐบาลกลางของประเทศสหรัฐอเมริกาชื่อ
Education for All Handicapped Children Act of 1975 หรือ
เรียกสั้น ๆ ว่า Public Law 94-142 (PL94-142)
ซึ่งมีผลบังคับใช้ในปี ค.ศ.1977
โดยกำหนดให้เด็กพิการทุกคนที่มีอายุระหว่าง 3-21
ปี ได้รับการศึกษาและมีการกำหนดให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณ
เพื่อการศึกษาพิเศษเพิ่มขึ้นจากในอดีตเป็นอันมาก ต่อมาในเดือนตุลาคม
ค.ศ. 1990 PL 94-142 ได้ปรับเปลี่ยนเป็น
Individuals with Disabilities Education Act : IDEA (PL 101 - 486 )
และนอกจากนี้กฎหมายฉบับนี้ยังได้กำหนดให้มีการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลให้กับเด็กพิเศษ
โดยมีการกำหนดจุดประสงค์
การวางแผนและการติดตามความก้าวหน้า
ความหมาย
แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล
หมายถึง
แผนซึ่งกำหนดแนวทางการจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับความต้องการจำเป็นพิเศษของบุคคลพิการแต่ละบุคคล
ตลอดจนกำหนดสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการ
และความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษาให้เป็นเฉพาะบุคคล
วัตถุประสงค์ในการใช้
IEP
มีอยู่ 2
ประการ คือ
1. IEP
เป็นแผนที่เขียนขึ้นเป็ฯลายลักษณ์อักษรสำหรับเด็กคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ
IEP หรือที่ประชุมเด็กเฉพาะกรณีใน IEP
จะมีข้อมูลในการจัดเด็กเข้ารับบริการการศึกษาและบริการที่เกี่ยวข้องอื่น
ๆ
2. IEP
เป็นเครื่องมือในการจัดการกับกระบวนการตรวจสอบและกระบวนการสอนทั้งหมด
ฉะนั้น IEP
ในแง่ที่เป็นส่วนสำคัญของกระบวนการตรวจสอบและกระบวนการสอนจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการประเมินผลและวิธีการสอน
การจัดทำ
IEP
เพื่อประกันว่า
1.
การศึกษาที่จัดให้กับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
หรือเด็กที่มีความบกพร่องแต่ละคนนั้นเหมาะสมกับความต้องการพิเศษทางการเรียนรู้ของเด็กคนนั้น
2.
เมื่อมีการกำหนดการให้บริการทางการศึกษาพิเศษใน IEP
แล้วนั้น ได้มีการให้บริการดังกล่าวจริง
3.
มีการดำเนินการควบคุมติดตามผลการให้บริการ
(Lerner,Dawson, & Horvart, :1980m หน้า 6;
Lerner,J.W : 1993, หน้า 67 ; Podemskim, R.S. &
Others : 1995, หน้า 50-53)
การเปรียบเทียบลักษณะการสอนแบบเก่ากับการสอนที่จัดให้มีแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล |
||||
ที่มา : แปลและเรียบเรียงจาก Mercer, D, & Mercer, A.R. (1989), Teaching children with Learning Problems, 3 ed.,p.5, (Columbus : Merrill Publishing Company). |
ขั้นตอนของกระบวนการตรวจสอบและการสอนตาม
IEP
แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล
(IEP) กระบวนการตรวจสอบและกระบวนการสอนตาม IEP
แบ่งออกได้เป็น 3 ขั้นตอนใหญ
1.
ขั้นส่งต่อ
แบ่งเป็น
2 ขั้นย่อยดังนี้
ขั้นที่
1 กิจกรรมก่อนการส่งต่อ (Prereferral Activities)
กิจกรรมก่อนการส่งต่อคือ
มาตรการการให้ความช่วยเหลือในระยะเริ่มต้นของปัญหาที่ครูปกติใช้
เมื่อพบว่ามีนักเรียนที่มีปัญหาหรือความบกพร่องอยู่ในชั้นเรียนของตน
โดยครูใช้วิธีการง่ายๆ
ที่ใช้อยู่ในชั้นเรียนรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของนักเรียน
และด้วยความช่วยเหลือจากบุคคลเหล่านี้ ได้แก่ ครูการศึกษาพิเศษ
ศึกษานิเทศก์ หรือผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิชาการ
ครูจะทำการวิเคราะห์ปัญหาวิชาการและพฤติกรรมของนักเรียน
และจะร่วมปรึกษาหารือในการช่วยเหลือนักเรียนด้วยวิธีต่าง ๆ
ในขณะที่นักเรียนยังเรียนในชั้นเรียนปกติ
เพื่อแก้ไขหรือขจัดปัญหาหรือความบกพร่องเหล่านี้
ในขั้นตอนนี้อาจใช้รูปแบบการให้ความช่วยเหลือในระยะเริ่มต้นของปัญหา
2 รูป คือการให้คำแนะนำและการใช้คณะครูช่วย
ขั้นที่ 2 การส่งต่อและการวางแผนในระยะเริ่มต้น
(Referral and Initial Planning)
การส่งต่อนักเรียนในระยะเริ่มต้นเพื่อไปรับการประเมิน
อาจผ่านมาได้จากหลายทาง ได้แก่ จากพ่อแม่ ครู นักอาชีพอื่น ๆ
ผู้ซึ่งรู้จักคุ้นเคยกับนักเรียน หรือนักเรียนอาจส่งต่อคนเองก็ได้
บุคลากรของโรงเรียนจะต้องทำหน้าที่ติดตามการส่งต่อนั้น
ต้องมีการแจ้งให้พ่อแม่ทราบว่าทางโรงเรียนค้นพบอะไรเกี่ยวกับนักเรียน
และทางโรงเรียนจะต้องวางแผนให้มีการประเมินนักเรียน และนอกจากนี้
จะต้องมีการตัดสินใจว่าจะต้องการข้อมูลอะไรเพิ่มเติมอีก
และใครจะเป็นผู้รวบรวมข้อมูลเหล่านี้
2.
ขั้นตรวจสอบ
ขั้นตรวจสอบนี้เป็นส่วนสำคัญยิ่ง
ของกระบวนการสอนตาม IEP
ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการจัดทำและการเรียน IEP
โดยมี 2 ขั้นตอนย่อย ดังนี้
ขั้นที่
3 การประเมินโดยคณะสหวิทยาการ
(Multidisciplinary Assessment)
ในขั้นนี้ ผู้เชี่ยวชาญหลายด้าน เช่น นักจิตวิทยาโรงเรียน
พยาบาลโรงเรียน นักแก้ไขการพูดและภาษา
ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้
หรือผู้เชี่ยวชาญทางการอ่าน
รวมรวมข้อมูลที่จำเป็นจากการตรวจสอบทางวิชาการและพฤติกรรมที่สงสัยว่าจะเป็นความบกพร่องของเด็กในขั้นนี้เป็นการร่วมมือและการทำงานเป็นคณะ
ขั้นที่
4 การประชุมเด็กเฉพาะกรณี
หรือการประชุมเพื่อเขียน IEP ( Case conference or IEP Meeting
for the IEP)
หลังจากที่ได้มีการรวบรวมข้อมูลโดยคณะสหวิทยากรแล้ว
จะมีการติดต่อพ่อแม่เพื่อประชุมร่วมกัน
และที่ประชุมจะร่วมกันเขียน IEP
โดยที่ประชุมจะต้องประกอบไปด้วยบุคคลเหล่านี้เป็นอย่างน้อย
1.
ผู้แทนจากโรงเรียนปกติ
2.
ครูของนักเรียน
3.
ตัวนักเรียนเอง
4.
พ่อ แม ผู้ปกครอง่ต้องมีส่วนร่วม
เนื้อหาสาระของ IEP
ควรประกอบไปด้วยเนื้อหาสาระ ดังนี้
1.
ข้อมูลส่วนตัวเกี่ยวกับนักเรียน
2.
ผู้ร่วมประชุมเขียน IEP
3.
ระดับความสามารถในการปฏิบัติงานในปัจจุบันในด้านต่าง
ๆ
4.
เป้าหมายระยะยาวหนึ่งปี
5.
จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมหรือจุดประสงค์ระยะสั้น
6.
กระบวนการประเมิน
7.
บริการเกี่ยวข้องอื่น ๆ
8.
ความเห็นชอบจากพ่อแม่ผู้ปกครอง
3.
ขั้นการเรียนการสอน
จะเกิดขึ้นหลังจากได้เขียน
IEP เสร็จสมบูรณ์แล้ว
ในขั้นนี้จะประกอบด้วยการสอนและการติดตามความก้าวหน้าของเด็ก
ดังนี้
ขั้นที่
5 การปฏิบัติตามแผนการสอน (Implementation of
the Teaching Plan)
ในขั้นนี้
นักเรียนจะได้รับการจัดให้เข้าเรียนตามที่ตกลงกันไว้ใน IEP
และจะได้รับการสอนตามแผนการสอนเฉพาะบุคคล
ซึ่งเป็นแผนการสอนที่จัดขึ้นเฉพาะเจาะจงสำหรับนักเรียนคนนั้น
แผนการสอนเฉพาะบุคคลนี้จัดทำขึ้นเพื่อช่วยให้นักเรียนบรรลุจุดประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดไว้ใน
IEP
ขั้นที่
6 การติดตามความก้าวหน้าของนักเรียน
(Monitoring the Students Progress)
ในหลักการได้มีการกำหนดให้มีการบททวน IEP
อย่างน้อยปีละครั้ง (และส่งต่อให้หน่วยงาน คือศูนย์การศึกษาเขต
หรือศูนย์การศึกษาจังหวัดเพื่อขอรับคูปองมูค่า 2000 บาท
: สิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ และบริการทางการศึกษา ตามรายการบัญชี
แนบท้ายกฎกระทรวงฯ ตาม พรบ.การศึกษาแห่งชาติ 2542
แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 2)
ในปัจจุบันได้มีการเสนอแนะให้ทบทวนอย่างน้อยภาคเรียนละครั้ง
และมีการประเมินแผนในลักษณะติดตามความก้าวหน้าของนักเรียนใน
IEP เป็นระยะ ๆ ซึ่งจะต้องระบุว่าจะดำเนินการประเมินโดยวิธีใด
ใครจะเป็นผู้ประเมินและจะใช้เครื่องมือและเกณฑ์อะไรในการประเมิน
ควรมีการเสนอรายงานผลการประเมินให้เห็นอย่างชัดเจน เช่น
อาจเสนอในรูปของกราฟแท่ง เป็นต้น
ประโยชน์ของแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล
IEP
เกิดขึ้นจากพื้นฐานทางกฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิทางการศึกษาที่บุคคลที่มีความบกพร่องพึงได้รับ
โดยมุ่งที่จะให้บุคคลเหล่านี้ได้รับการศึกษาที่เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการจำเป็นพิเศษของบุคคลนั้น
ฉะนั้นประโยชน์ที่ได้จาก IEP
สำหรับบุคคลที่มีความบกพร่องนั้น จะเป็นประโยชน์โดยตรง
นอกจากนี้ IEP ยังบอกให้รู้ว่า
ทักษะที่นักเรียนยังไม่มีหรือยังไม่เรียนรู้คืออะไร
ความสนใจและเจตคติของนักเรียนเป็นอย่างไร เป็นต้น
สำหรับการวางแผนยุทธศาสตร์การสอนนั้น
ครูจะต้องมีความเข้าใจอย่างกว้างขวางในเรื่อง วิธีสอน สื่อ
(เทคโนโลยี) เนื้อหา หลักสูตร และระดับพัฒนาการของนักเรียน
(Hancock,R:1990, หน้า 378-379; Lermer,J.W : 1993
หน้า 67-77
ศูนย์พัฒนาการศึกษาแห่งชาติของประเทศไทย : 2529
หน้า 298-302 ; Mercer, C.D. & Mercer, A.R : 1989 ,
หน้า 5-8) นอกจากนี้นักการศึกษาพิเศษของประเทศต่าง
ๆ ก็ยอมรับว่า IEP มีคุณประโยชน์ต่อการจัดการเรียน
การสอนให้นักเรียนที่มีความบกพร่อง และได้รับหลักการ IEP
เข้าไปในการจัดการเรียนการสอนของประเทศตน
ในปัจจุบันประเทศไทยนำ IEP
บรรจุไว้ในกฎกระทรวงมาตรา 10 วรรค 3
ในพระราชบัญญัติการศึกษาปี 2542
โดยกำหนดการให้บริการและสิทธิในการรับบริการสื่อ
สิ่งอำนวยความสะดวก บริการและความช่วยเหลืออื่น ๆ
ตามความต้องการจำเป็น
ประโยชน์ของ
IEP พอสรุปได้ดังต่อไปนี้
1. ครู ผู้บริหาร
และผู้ทีเกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาให้บุคคลที่มีความบกพร่อง
ตระหนักและมีความรับผิดชอบ (Accountable)
ต่อผลของการจัดการศึกษาที่มีต่อบุคคลเหล่านี้
2. ครู ผู้บริหาร
และผู้ที่เกี่ยวข้องตระหนักและทราบว่า
บุคคลที่มีความบกพร่องต้องการการศึกษาเฉพาะบุคคลที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการพิเศษของตนเอง
ครูจึงมีหน้าที่ที่จะต้องเตรียมพร้อมที่จะสอน
3.
พ่อแม่ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการวางแผน IEP
สำหรับลูกของเรา
และได้รับทราบโดยตลอดตั้งแต่ต้นว่าทางโรงเรียนจะจัดการศึกษาและบริการที่เกี่ยวข้องให้กับลูกของตนอย่างไรและแค่ไหน
และทางพ่อแม่จะรับรู้ถึงสิทธิที่จะขอรับทราบข้อมูลต่าง ๆ
เกี่ยวกับลูกของตนทุกระยะ
นอกจากนี้ทางวพ่อแม่ยังสามารถให้การนับสนุนกับทางโรงเรียนในการช่วยให้ทางโรงเรียนบรรลุจุดประสงค์ที่วางไว้
4. IEP
รับประกันการจัดการศึกษาที่มีประสิทธิภาพให้กับนักเรียน
ไม่ใช่จัดให้นักเรียนเข้าเรียน
โดยทางครูและโรงเรียนไม่มีหน้าที่รับผิดชอบในการติดตามความก้าวหน้า
และนอกจากนี้จะต้องนำเสนอผลการประเมินต่อพ่อแม่ผู้ปกครองเด็กอีกด้วย
5. IEP
ช่วยให้ทางโรงเรียนจัดหาหรือจัดบริการเสริมที่นักเรียนจำเป็นต้องได้รับ
เพื่อช่วยให้การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการศึกษาสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องหรือมีความต้องการพิเศษอย่างมีประสิทธิภาพมีผลต่อการพัฒนาการทุกด้านของนักเรียน
(ศูนย์พัฒนาศึกษาแห่งชาติของประเทศไทย : 2529
หน้า 298-302 ; Lerner, J.W. Dawson,D., & Horvath,
L : 1980, หน้า 5-10
สรุป
ในการจัดแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลนั้นโดยทั่วไปจะจัดให้กับเด็กตั้งแต่อายุ
3 ปี ขึ้นไป
ซึ่งโดยทั่วไปเด็กเหล่านี้จะเข้ามาอยู่ในระบบการศึกษา อย่างไรก็ตาม
นักการศึกษายังมีความเห็นว่าสำหรับการจัดแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลให้กับเด็กอายุ
0 -2 ปี นั้น ควรจะจัดทำเป็นแผนบริการเฉพาะครอบครัว
(Individualized Family Services Plan: IFSP)
โดยให้ความสำคัญต่อสิทธิของครอบครัวที่จะต้องได้รับความคุ้มครองช่วยเหลือตามกระบวนการทางกฎหมาย
(Due Process) กล่าวคือ
1).
มีสิทธิขอข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาของเด็กทั้งหมดที่หน่วยงานจัดหา
และเก็บรวบรวม
ได้ซึ่งจะช่วยให้พ่อแม่เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ในเรื่องของการประเมินเพื่อบ่งชี้ความบกพร่องหรือความต้องการพิเศษของเด็ก
การประเมินผลและการติดตามความก้าวหน้าของพัฒนาการของเด็ก
และการจัดให้เด็กเข้ารับบริการเพิ่มเติมและบริการทางการศึกษา
2). ได้รับการแจ้งล่วงหน้า
หากจะมีการริเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงในเรื่องที่เกี่ยวกับการประเมินเพื่อบ่งชี้ความบกพร่องหรือความต้องการพิเศษของเด็กขึ้นใหม่
การประเมินความก้าวหน้า การจัดให้เด็กเข้ารับบริการ หรือเข้าเรียน
ในการแจ้งล่วงหน้านี้ ต้องมีคำอธิบายถึงทางเลือกอื่น ๆ
ที่ทางโรงเรียนไม่ได้เลือกใช้กับเด็ก
และจะต้องอธิบายถึงการใช้ข้อมูลจากการประเมิน
สิ่งที่สำคัญยิ่งคือคำอธิบายต่าง ๆ
เหล่านี้ต้องจัดทำให้พ่อแม่เกิดความเข้าใจ เช่น
อาจจำเป็นต้องมีการอธิบายเป็นภาษาถิ่นในการสื่อความเข้าใจกับพ่อแม่
3).
ได้รับอนุญาตจากพ่อแม่ก่อนที่จะประเมินเด็ก
เพื่อจัดเข้ารับบริการ หรือเข้ารับการศึกษาพิเศษ
4).จัดให้มีกระบวนการการรับฟังความเห็น
(Hearing Process) หมายถึง
การประชุมาเพื่อทำความตกลงในข้อที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับเรื่องของการประเมินเพื่อการบ่งชี้
การประเมินติดตามความก้าวหน้า การจัดให้เข้ารับบริการ
หรือเข้าเรียนทางการศึกษา
5).
หากพ่อแม่ไม่พอใจกับผลการประเมินโดยหน่วยงานของรัฐ หรือโรงเรียน
และต้องการให้มีการประเมินใหม่
ก็อาจร้องขอให้มีการประเมินจากองค์การหรือหน่วยงานอิสระได้
รัฐควรเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย
นอกจากสิทธิของพ่อแม่ตามกระบวนการตามกฎหมายแล้ว IFSP
ยังให้ความสำคัญต่อการรักษาข้อมูลของเด็กและครอบครัวเป็นความลับ
(Confidentiality)
และหากจะมีการให้ข้อมูลแก่บุคคลหรือหน่วยงานใด
จะต้องได้รับอนุญาตจากพ่อแม่เสียก่อน รวมทั้งต้องมีการระบุใน
IFSP เกี่ยวกับการจัดให้เด็กเข้ารับบริการในหน่วยงานใด
และสิ่งแวดล้อมของสถานที่นั้น ๆ
จะต้องมีลักษณะมีขีดจำกัดที่เป็นอุปสรรคต่อเด็กน้อยที่สุด (The
least restrictive environment: LRE)
สำหรับเด็กที่มีอายุระหว่าง 3-5 ปี นั้น
อาจมีการจัดทำ IEP ให้ (ในบางกรณีอาจใช้ IFSP
ได้) โดยคำนึงถึงพัฒนาการของเด็กที่จะต้องมีกระบวนการพัฒนา
รวมทั้งมีการติดตามผลความก้าวหน้าซึ่งจำเป็นต้องระบุไว้ใน IEP
(Lerner, J.W. 1993 : หน้า 250,251,253,264)
แหล่งอ้างอิง http:// www.nrru.ac.th
ไม่มีความเห็น