การจัดการความรู้เมื่อ พ.ศ.2453
เช้าวันนี้ (3 ส.ค.48) ผมได้รับเอกสาร 1 แผ่น มีข้อความดังนี้
(ลายมือ)
เรียน อ.ปิยะวัติ/คุณหมอวิจารณ์
ผมไปเจอหนังสือ “จตุศันสนียาจารย์” น่าสนใจดีครับ เลยเอาไปขยายความเป็นบทสุดท้ายของบทความที่ลงประจำในประชาคมวิจัย และที่กำลังรวมเล่มขณะนี้แล้ว เป็นเรื่องการผสมผสานคนต่างรุ่นด้วยหลัก KM ในการทำงาน
สุธีระ
พระราชหัตถเลขา
พระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีถึงพระยาวงศานุประพัทธ์ (ม.ร.ว. สท้าน สนิทวงศ์) รองเสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ เมื่อ 1 ธันวาคม ร.ศ.128 (พ.ศ.2453) กรณีจัดตั้งข้าหลวงเกษตรสำหรับมณฑลกรุงเทพฯ
ได้รับหนังสือ ลงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ศกนี้ เรื่องจะจัดตั้งข้าหลวงเกษตรสำหรับมณฑลกรุงเทพฯ ว่าการที่จะหาข้าราชการมารับหน้าที่ให้เหมาะแก่เวลานี้เป็นการยาก ความลำบากของเราในเรื่องที่จะใช้คนใหม่หรือคนเก่า มีไปคนละทางยังไม่ให้ผลดีดังประสงค์ ไม่เฉพาะแต่การเพาะปลูกทั่วไปทุกอย่าง ชั้นใหม่ไม่รู้การเก่า แต่มีความรู้เคยเห็นการงานที่ดีสมบูรณ์ แต่เพราะความสามารถที่จะวางแบบอย่างสอนกันไม่ได้ เกี่ยวแก่สันดานคน จึงมักใช้ความรู้ดัดแปลงการเก่าไม่ใคร่ไหว เลยหมกมุ่นขุ่นใจไป ไม่ได้การสำเร็จ
ข้างฝ่ายคนชั้นเก่าตั้งใจทำให้ดี แต่พื้นความรู้ไม่มี จะดูแลดูอะไรก็เป็นทดลอง แลดูจะทำอะไรก็เป็นการทดลองไปหมด การทดลองคงมีพลาดมากเป็นครู เมื่ออาศัยการที่เขาทดลองมาแล้วเป็นทางความรู้ไม่ได้ ต้องงมไปใหม่ งมไปพลาดหนักเข้าก็เลยท้อใจ ลงงุ่นง่านต่อไปอีก
ความต้องการของเราต้องการให้รู้ทั้งนอกทั้งในทั้งใหม่ทั้งเก่าประกอบกันได้ ซึ่งเป็นข้อที่ขัดสนอย่างเอกอยู่ในเวลานี้ ถึงจะบ่นไปก็หาไม่ได้
แต่ทางที่จะล่วงข้ามความลำบากมีอยู่อย่างเดียว แต่ด้วยความสอดส่อง แลหมั่นคิดหมั่นตรวจของเสนาบดีเจ้ากระทรวง อย่าปล่อยให้ความรื่นรมย์ว่าดีพอใจแล้วเกิดขึ้นในใจ พยายามที่จะจัดให้ดีที่สุดยิ่งขึ้นอยู่เสมอ นี่เป็นทุนสำคัญของเสนาบดี แต่ยังต้องมีวิธีที่จะนำคนใหม่แลคนเก่าเจือกันเข้าให้ได้ ให้คนเก่าได้เรียนอย่างใหม่จากพวกที่อ่อนกว่าตัวโดยไม่ต้องนึกอายใจว่าเป็นลูกศิษย์เด็ก ข้างฝ่ายนักเรียนที่มีความรู้กว้างขวางก็เหมือนกัน ต้องชักโยงให้เรียนความรู้จากผู้ใหญ่ซึ่งมีความชำนาญพื้นเมือง โดยอย่าให้รู้สึกว่าต้องเป็นลูกศิษย์ตาครูป่าครูเถื่อน ความรู้เบื้องต้นซึ่งไม่รู้จักอะไร แม้แต่ อิลิเมนตารีของการเพาะปลูก ข้อขัดข้องซึ่งคนชั้นนี้เข้ากันไม่ได้ ด้วยทิฐิเช่นที่กล่าวมานี้ ทางที่จะทำให้เป็นผลดีขึ้นได้เป็นสำคัญอยู่ที่ตัวเสนาบดี ต้องเลือกช่องใช้คนทั้ง ๒ พวก โดยแยบคายอุบายให้ดี ให้ต่างคนต่างเห็นความรู้ของตัวบกพร่อง แลให้แลเห็นประโยชน์ที่ได้รับความรู้อันยังไม่เคยรู้ ความที่เป็นทิฐิมานะก็ค่อยเสื่อมคลายลงไปทั้ง ๒ ฝ่าย แต่วางมือไม่ได้ ถ้าวางให้ข้างไหนก็คงลงตามความรู้แลความคิดเดิม เสนาบดีที่ตั้งใจอยู่เป็นกลางแลเอาความสำเร็จของกระทรวงเป็นที่ตั้ง ต้องแลดูอยู่เป็นนิจ แลพยายามที่จะประสานกันให้เข้ากันให้ได้ อย่าวางธุระเลย ถ้าเช่นนี้ในชั้นแรกจะได้คนที่ค่อยแยบคายขึ้นกว่า ๒ จำพวก เป็นจำพวกที่ ๓ คือคนชั้นเก่า แลเมื่อช้าไปหน่อยจะได้คนที่ดีบริบูรณ์พร้อมดังต้องการเป็นชั้นที่ ๔ ก็คือคนใหม่จำพวกที่ ๒ นั้นเอง เมื่อถึงเวลานั้นการจึงจะดำเนินได้สะดวกดังปรารถนา
ความสำเร็จในราชการที่เปลี่ยนแปลงมาโดยลำดับสำเร็จได้ด้วยวิธีเช่นนี้ จึงนำมาชี้แจงให้เจ้าฟัง ขอให้ถือว่าเป็นปอลิซีที่จะจัดการในกระทรวงให้เจริญดียิ่งขึ้นสืบไป
เห็นพระปรีชาสามารถของสมเด็จพระปิยมหาราชไหมครับ ถ้าราชการของเราทำตามในพระราชหัตถเลขาเมื่อ 105 ปีมาแล้วอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยเราจะเป็นอย่างไรทุกคนคงพอจินตนาการออก
ขอขอบคุณ รศ. ดร. สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ ผอ. ฝ่ายอุตสาหกรรม สกว. ที่กรุณาส่งเรื่องดี ๆ มาดลใจให้ผมเอาเผยแพร่ในบล็อก
วิจารณ์ พานิช
3 ส.ค.48
ไม่มีความเห็น