นานาเรื่องราวการจัดการความรู้ (๘)
โครงการความร่วมมือเพื่อพัฒนาสถาบันการจัดการความรู้ท้องถิ่น
ต่อยอดความรู้ภารกิจนักจัดการท้องถิ่น
สู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ด้วยความตระหนักถึงสถานการณ์และปัญหาของชุมชนท้องถิ่น
โครงการเสริมสร้างการเรียนรู้เพื่อชุมชนเป็นสุข (สรส.)
จึงก่อเกิดขึ้นโดยมีเป้าหมายในการเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพคนหนุ่ม-สาวที่เป็นลูกหลานของชุมชนท้องถิ่น
ให้กลับคืนมาทำงานในบ้านเกิดของตนเอง ให้มีความรู้ความสามารถ
และทักษะที่จะนำพาคนในชุมชนเรียนรู้ หรือ “จัดการความรู้”
โดยร่วมกันกำหนดอนาคตของตนเองและสร้างสรรค์ชุมชนของตนให้ดำเนินไปสู่เป้าหมาย
“ชุมชนเป็นสุข”และคาดหวังว่าบุคคลเหล่านี้จะเป็นกำลังสำคัญร่วมกับผู้นำชุมชน
ในการผลักดันให้เกิด “สถาบันจัดการความรู้ของชุมชน”
ที่จะทำหน้าที่ในการพัฒนาคนและส่งเสริมการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนในชุมชนอย่างต่อเนื่องในที่สุด
จุดเริ่มต้นของคนรุ่นใหม่ในชุมชน
ปัจจุบัน
แม้ว่ารัฐบาลและหน่วยงานทั้งหลายจะชูประเด็น “ชุมชนเข้มแข็ง
เศรษฐกิจฐานราก สังคมแห่งการเรียนรู้ ประชาธิปไตยจากฐานราก
การเมืองภาคประชาชน การมีส่วนร่วม การบริหารแบบธรรมาภิบาล
การตรวจสอบจากภาคประชาชน ฯลฯ”
พร้อมทั้งกำหนดโครงการและเงินจำนวนมหาศาลหลั่งไหลลงสู่ชุมชนท้องถิ่นก็ตาม
แต่โครงการดังกล่าวมักดำเนินการโดยคนภายนอก
และเน้นการสร้างกิจกรรมในพื้นที่เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งๆ
มากกว่าการสร้างคนและสร้างกลไกที่จะเอื้ออำนวยให้เกิดการเรียนรู้ที่เข้มแข็ง
ของชุมชนอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
นอกจากนั้นนับตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ของประเทศเมื่อปี
2540 จนถึงปัจจุบัน มีบัณฑิตที่จบการศึกษา
หรือที่ได้มาทำงานในภาคเมืองกลับสู่ท้องถิ่นเป็นจำนวนมาก
คนหนุ่มสาวเหล่านี้ นับเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติ
หากแต่ต้องมาอยู่ในสภาวะที่ “ไปไม่ถึง กลับไม่ได้” เป็นจำนวนมาก
แม้ว่ารัฐบาลจะสร้างโครงการ “บัณฑิตอาสากองทุนหมู่บ้าน”
ขึ้นมารองรับการว่างงานของบัณฑิตจำนวนถึง 70,000 กว่าคนก็ตาม
แต่ก็เป็นโครงการระยะสั้นเพียง 10 เดือนเท่านั้น
และมีผลกระทบต่อการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนน้อยมาก
โดยเฉพาะในมิติของการพัฒนาคนและการเรียนรู้ของชุมชน
ด้วยความตระหนักถึงสถานการณ์และปัญหาของชุมชนท้องถิ่นดังกล่าวข้างต้น
โครงการเสริมสร้างการเรียนรู้เพื่อชุมชนเป็นสุข
(สรส.)ภายใต้การสนับสนุนของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
จึงก่อเกิดขึ้นโดยมีเป้าหมายในการเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพคนหนุ่ม-สาวที่เป็นลูกหลานของชุมชนท้องถิ่น
ให้กลับคืนมาทำงานในบ้านเกิดของตนเอง ให้มีความรู้ความสามารถ
และทักษะที่จะนำพาคนในชุมชนเรียนรู้ หรือ “จัดการความรู้”
โดยร่วมกันกำหนดอนาคตของตนเองและสร้างสรรค์ชุมชนของตนให้ดำเนินไปสู่เป้าหมาย
“ชุมชนเป็นสุข” ตามนิยามความหมายที่ชุมชนเป็นผู้กำหนด
และคาดหวังว่าบุคคลเหล่านี้จะเป็นกำลังสำคัญร่วมกับผู้นำชุมชน
ในการผลักดันให้เกิด “สถาบันจัดการความรู้ของชุมชน”
ที่จะทำหน้าที่ในการพัฒนาคนและส่งเสริมการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนในชุมชนอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนต่อไปในอนาคต
18
เดือนกับการฟูมฟักนักจัดการความรู้ท้องถิ่น
ทั้งนี้หากย้อนเวลากลับไปก่อนหน้านี้เกือบ 2 ปี สรส.
ได้วางรากฐานแห่งการก่อเกิด “สถาบันจัดการความรู้ของชุมชน”
โดยคัดสรรบัณฑิตคืนถิ่นจำนวน 23 คน ในพื้นที่ 5 จังหวัดภาคกลางได้แก่
อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท อุทัยธานี และสุพรรณบุรี มาพัฒนาทักษะเป็น
“นักจัดการความรู้ท้องถิ่น” ในฐานะ “คุณกิจ” และ “คุณอำนวย”
โดยจัดหลักสูตรการเรียนรู้บนฐานชีวิตจริงให้กับนักจัดการความรู้ท้องถิ่นทั้ง
23 คนอย่างต่อเนื่อง และเน้นในเรื่อง “ความรู้และการจัดการความรู้”
ที่สอดคล้องกับสถานการณ์จริงของแต่ละพื้นที่
ตลอดจนศักยภาพของนักจัดการความรู้ท้องถิ่นแต่ละคน
การดำเนินงานที่ผ่านมา สรส.ได้พัฒนานักจัดการความรู้ท้องถิ่น
ให้เข้าใจหลักการของ “การจัดการความรู้” และการสร้างสรรค์ความรู้
จากการศึกษาสถานการณ์ปัญหาจริงในแต่ละพื้นที่
กระทั่งพัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้ให้กับชาวบ้านและกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันในแต่ละชุมชน
ซึ่งคนหนุ่มสาวกลุ่มนี้ได้เจริญเติบโตทั้งด้านความคิด ประสบการณ์
ความเข้าใจและความสามารถในการจัดกระบวนการเรียนรู้แก่ชุมชน
กระทั่งปัจจุบันต่างได้รับความไว้วางใจและความศรัทธาจากชุมชน
จนบางคนได้รับการเลือกตั้งให้เป็นผู้ใหญ่บ้านบ้าง สมาชิกอบต.บ้าง
และบางคนก็เป็นกำลังสำคัญในการทำงานกับกลุ่มอาชีพในชุมชนบ้าง
ทำงานเชื่อมประสานระหว่าง
ชุมชนกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบ้าง
ภายหลังการเสร็จสิ้นโครงการระยะที่ 1 นายทรงพล เจตนาวณิชย์
หัวหน้าโครงการสรส.จึงได้วางแผนโครงการฯในระยะที่ 2
ต่อโดยได้รับการสนับสนุนจากสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม
(สคส.)
ทั้งนี้ประสบการณ์และภาระหน้าที่จากการดำเนินงานระยะที่
1ได้คัดกรองนักจัดการความรู้ท้องถิ่นให้สามารถทำงานต่อไปข้างหน้าในระยะที่
2 จำนวน 8 คน เพื่อสานต่อภาระกิจร่วมกับโครงการฯ
ในฐานะผู้เชื่อมประสานความร่วมมือระหว่างชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(อปท.) ผลักดันให้ก่อเกิดและพัฒนา “สถาบันจัดการความรู้ของชุมชน” หรือ
“วิทยาลัยชาวบ้าน” ต่อไป ภายใต้ชื่อ
“โครงการความร่วมมือเพื่อพัฒนาสถาบันการจัดการความรู้ชุมชนท้องถิ่น”
ก้าวต่อไปพุ่งเป้าจัดการความรู้ในอปท.
การได้ลงไปคลุกคลีทำงานในท้องถิ่นบ้านเกิดโดยมีโจทย์ว่าทำโครงการอะไรก็ได้
เพื่อให้ชุมชนลุกขึ้นมาเห็นศักยภาพของตนเองของนักจัดการความรู้ท้องถิ่นตลอดระยะเวลา
18 เดือน ก่อให้เกิดเครือข่ายความร่วมมือของชาวบ้านอย่างแท้จริง
อีกทั้งทักษะความรู้ในการเป็นผู้นำที่บรรดานักจัดการความรู้ท้องถิ่นได้เรียนรู้และลองปฏิบัติจริงนั้นนับว่าเป็นต้นทุนชั้นเยี่ยมในการต่อยอดผลการดำเนินงาน
สู่การก่อเกิดสถาบันการจัดการความรู้ที่เข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น
สถาบันการจัดการความรู้ท้องถิ่นนี้ จะทำหน้าที่ในการพัฒนาคนของตนเอง
มีขีดความสามารถในการจัดการความรู้เพื่อตอบสนองต่อทิศทางการพัฒนาที่ยั่งยืนและสามารถเชื่อมโยงกับกลไกปกติของท้องถิ่นที่มีอยู่
ไม่ว่าจะเป็น (อบจ. อบต.เทศบาล เป็นต้น)
หรือกลไกภาคประชาชนที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เช่น ขบวนการสหกรณ์
เป็นต้น โดยมีนักจัดการความรู้ท้องถิ่นและองค์ความรู้ที่โครงการมีอยู่
เป็น
“จุดเชื่อม”สำคัญที่นำไปสู่ก้าวย่างของการทำงานร่วมกันระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับสถาบันทางสังคมอื่นๆ
ของชุมชน เช่นวัด บ้าน โรงเรียน สหกรณ์ ฯลฯ
โดยระยะที่ 2 นี้
โครงการฯ
ได้เข้าไปจัดกระบวนการเรียนรู้ให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ต่างๆ
โดยใช้เครื่องมือการจัดการความรู้สอดประสานกับเครื่องมือทางสังคมอื่นๆ
หลายต่อหลายครั้งอย่างต่อเนื่อง
โดยมีเป้าหมายอยู่ในพื้นที่เดิมของนักจัดการความรู้ท้องถิ่น 5 จังหวัด
คือ สุพรรณบุรี อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท และอุทัยธานี
เป็นจังหวัดนำร่องที่มีการทำงานเชิงลึก ต่อยอด
และยกระดับการเรียนรู้เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ขยายผลจังหวัดอื่นๆ
โดยหวังผลให้เกิดสถาบันจัดการความรู้ท้องถิ่นภายใต้การสนับสนุนของ
อบต. เทศบาล และองค์กรอื่นๆในชุมชน ค่อนข้างสูง
โดยอาศัยนักจัดการความรู้ท้องถิ่นที่ผ่านการพัฒนามาแล้วระดับหนึ่งเป็นผู้ขับเคลื่อนที่สำคัญร่วมกับโครงการฯ
นอกจากพื้นที่เป้าหมายเดิมแล้ว ยังมีพื้นที่ขยายผลอีก 10 จังหวัด
ได้แก่ ภาคกลาง-จังหวัดกาญจนบุรี เพรชบุรี ราชบุรี ลพบุรี
ภาคเหนือ-จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน แพร่ น่าน ภาคตะวันออก-จังหวัดตราด
ภาคใต้-จังหวัดนครศรีธรรมราช
ซึ่งเป็นพื้นที่ภายใต้การดำเนินงานของโครงการชุมชนเป็นสุข
และโครงการเครือข่ายสุขภาพระดับจังหวัดภายใต้การสนับสนุนของ สสส.
โครงการเชื่อมโยงเครือข่ายสหกรณ์
โครงการพัฒนาเครือข่ายองค์กรการเงินชุมชน
และโครงการต่อสู้ความยากจนภายใต้การสนับสนุนของ สกว.
และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.)
หรืออาจเป็นพื้นที่ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมีความประสงค์จะนำหลักการจัดการความรู้ไปใช้ในการพัฒนาตามยุทธศาสตร์จังหวัด
โดยโครงการฯ
จะเข้าไปหนุนเสริมเพื่อให้มีการนำเครื่องมือการจัดการความรู้ไปประยุกต์ใช้ในโครงการ
รวมทั้งเป็นกลไกกลางในการจัดให้เกิดกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อยกระดับการทำงานระหว่างโครงการเหล่านั้น
กระบวนการและขั้นตอนในการในระยะที่ 2
สำหรับในพื้นที่เดิมนั้น จะใช้กระบวนการถอดบทเรียน วิเคราะห์สถานการณ์
และทุนทางสังคมในพื้นที่ เพื่อกำหนดวัตถุประสงค์ เป้าหมาย
และพัฒนาแนวทางการทำงานร่วมกับนักจัดการความรู้ท้องถิ่นและภาคีที่เกี่ยวข้องในพื้นที่
จากนั้นก็จะจัดประชุมฝ่ายบริหารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
เพื่อซักซ้อมความเข้าใจถึงวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการ
และขอความร่วมมือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยจะคัดสรรคุณเอื้อ
คุณอำนวย และคุณกิจจากการจัดประชุม
จากนั้นจึงพัฒนาหลักสูตรและจัดทำแผนการดำเนินงานในแต่ละองค์กรเพื่อพัฒนา
“คุณอำนวย” ไปทำหน้าที่ระดับพื้นที่
ดังเช่นในพื้นที่ขยายผลได้จัดปฐมนิเทศให้กับนักจัดการความรู้ท้องถิ่นรุ่นใหม่ในภาคเหนือ
ที่จังหวัดลำพูน เมื่อเดือนมิถุนายนและกันยายนที่ผ่านมา
นอกจากนี้ก็ยังมีการจัดการเรียนรู้ระดับพื้นที่ ซึ่งจะเน้นการจัด
“ห้องเรียนชุมชน” ตามประเด็นเนื้อหาของพื้นที่
และการจัดการเรียนรู้ระดับเครือข่ายซึ่งจะเน้นการเปิด
“ตลาดนัดความรู้” ซึ่งเป็นการเรียนรู้ข้ามพื้นที่ เช่น
การจัดตลาดนัดความรู้ให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่ต่ำกว่า 20
แห่ง ใน 5 จังหวัดภาคกลาง
โดยให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในระดับตำแหน่งเดียวกันแบบข้ามองค์กร
เพื่อค้นหาความความสำเร็จและความภาคภูมิใจในการทำงานเพื่อพัฒนาชุมชนท้องถิ่น,
การจัดตลาดนัดความรู้สหกรณ์ที่ จ.ลำพูน ซึ่งมีสหกรณ์จำนวน 50
แห่งมาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในประเด็นต่างๆ เช่นปัญหา
และแนวทางการใช้ความรู้ในการแก้ไขปัญหา เครื่องมือในการจัดการความรู้
ซึ่งกระบวนการที่ใช้ในครั้งนี้คือการแบ่งกลุ่มย่อย
แลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่าน “พลังจากเรื่องเล่า”
ผลของการจัดตลาดนัดความรู้
ได้ก่อให้เกิดเครือข่ายพันธมิตรร่วมกันและเห็นแนวทางที่จะไปจัดการงานของตัวเองต่อไป
เห็นได้ชัดจากการจัดตลาดนัดความรู้ครั้งแรกของสหกรณ์นำไปสู่การเรียกร้องให้มีการจัดตลาดนัดความรู้ร่วมกันระหว่างสหกรณ์กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเดือนกันยายนที่ผ่าน
เป็นต้น
สำหรับการดำเนินโครงการฯ
ในพื้นที่ใหม่ที่ไม่มีนักจัดการความรู้ท้องถิ่นเป็นจุดเชื่อมนั้น
โครงการฯ จะเข้าไปประชุมชี้แจงวัตถุประสงค์ เป้าหมาย โครงการฯ
กับผู้ประสานงานในแต่ละพื้นที่ แล้วประเมินทุนทางสังคม โอกาส
และการใช้เครื่องมือจัดการความรู้ในระดับต่างๆ เช่นระดับตำบล
ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด หรือกลุ่มระดับอื่นๆ
ร่วมกันแล้วคัดสรรผู้เข้าร่วมโครงการ เป็นคุณเอื้อ คุณอำนวย
และคุณกิจ
ไม่มีความเห็น