ความเชื่อของชาวเลย
บางพวกมักจะเชื่อเรื่องภูตผีบรรพบุรุษ และมีความเชื่อพิธีกรรมเกี่ยวกับผีฟ้า นางเทียมซึ่งมีอยู่แทบทุกหมู่บ้านส่วนชาวอำเภอด่านซ้านมีความเชื่อเรื่องวิญญาณโดยจะมีพ่อกวนและนางเทียมเป็นสื่อติดต่อกับวิญญาณและเข้าทรง มีการบูชาพระธาตุศรีสองรักและศาลเจ้าหรือหอเจ้าเป็นประจำทุก ๆ ปี นอกจากนี้ยังรวมไปถึงพิธีกรรมแห่นางแมว การเล่นแม่นางด้วง การเล่นนางกวัก พิธีบายศรีสู่ขวัญและพิธีช้อนขวัญ ฯลฯ ส่วนความเชื่อพุทธศาสนาก็ยังคงอยู่โดยเห็นได้จากจำนวนวัดที่มีมากมายทุกหมู่บ้าน
มีสำเนียงภาษาแตกต่างจากภาษาพูดของคนในจังหวัดภาคอีสานอื่น ๆ เพราะกลุ่มคนที่อาศัยปัจจุบันนี้มีประวัติการอพยพเคลื่อนย้ายจากเมืองหลวงพระบางแห่งอาณาจักรล้านช้าง ต่อมาต้นพุทธศตวรรษที่ 23 ชาวหลวงพระบางและชาวเมืองบริเวณใกล้เคียงที่อพยพมาเมืองเลยได้นำวัฒนธรรมด้านภาษาอีสานถิ่นอื่น โดยภาษาเลยนั้นจัดอยู่ในกลุ่มหลวงพระบางอันประกอบด้วยภาษาอำเภอแก่นท้าว เมืองชัยบุรี ภาษาอำเภอด่านซ้าย และภาษาอำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย ดังนั้นสำเนียงพูดของชาวไทเลยจึงมีลักษณะการพูดเหมือนชาวหลวงพระบางแต่บางพยางค์ออกเป็นเสียงสูงคล้ายสำเนียงพูดของชาวปักษ์ใต้ ฟังดูไพเราะนุ่มนวลจึงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะคนเมืองเลย
ชาวจังหวัดเลยนั้น นับได้ว่าเป็นผู้ที่รักษาขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นไว้ค่อนข้างเหนียวแน่นถึงแม้ปัจจุบันวิถีชีวิตของคนเมืองเลยบางส่วนได้เปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากได้รับวัฒนธรรมจากภายนอกก็ตาม คนเมืองเลยส่วนใหญ่ยังยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมเช่น ในวันพระก็มักจะเข้าวัดฟังเทศน์ ถือศีล ฟังธรรมละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต บุญประเพณีที่สำคัญคือ ประเพณีทั้งสิบสองเดือนของแต่ละปี คือ เดือนอ้ายบุญเข้ากรรม เดือนยี่บุญคูณลาน เดือนสามบุญข้าวจี่ เดือนสี่บุญเผวส เดือนห้าบุญสงกรานต์ เดือนหกบุญบั้งไฟ เดือนเจ็ดบุญซำฮะ เดือนแปดบุญเข้าพรรษา เดือนเก้าบุญข้าวประดับดิน เดือนสิบบุญข้าวสาก เดือนสิบเอ็ดบุญออกพรรษา เดือนสิบสองบุญกฐิน และยังมีบุญอื่น ๆ อีก ได้แก่ บุญก่อเจดีย์ทราย บุญข้าวแจกคือการทำบุญอุทิศแก่ผู้ตาย แต่บางหมู่บ้านของจังหวัดเลย มีประเพณีของตนเป็นพิเศษ เช่น การทำพิธีบวงสรวงผีปู่ตาหรือเจ้าบ้าน การเซ่นเทวดา และการลงผีฟ้า ฯลฯ ในบางพื้นที่อาทิอำเภอนาแห้วในวันพระ คนส่วนมากจะหยุดงานและถือศีลไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ดื่มเครื่องดองของเมา
บุญประเพณีประจำปีที่สำคัญของเมืองเลย ได้แก่ ประเพณีบุญหลวง บุญเทศกาลออกพรรษาที่เชียงคาน งานงานนมัสการพระธาตุดินแทน เป็นต้น
การแต่งกายของชาวไทเลย
ชาวไทเลยจะใช้ผ้าฝ้ายและผ้าไหมพื้นสีในการตัดเย็บ โดยจะนำเส้นด้ายมาทอเป็นผืนและนำมาตัดเย็บเป็นเสื้อ กางเกง ผ้าซิ่น ฯลฯ ลักษณะการแต่งกายสำหรับผู้ชายจะมีอยู่ด้วยกัน 4 แบบ แล้วแต่ในโอกาสต่าง ๆ ที่จะสวมใส่ ซึ่งประกอบด้วยชุดต่อไปนี้
1. ชุดแต่งกายสำหรับไปวัด ไปงานบุญ งานสงกรานต์ งานบวช งานลอยกระทง จะนิยมแต่งกายด้วยชุดไทเลยแบบคอกลมแขนสั้นนุ่งกางเกงขายาวธรรมดา
2. ชุดแต่งกายสำหรับไปทำงาน ไปวัด งานบวช งานแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่ จะนิยมแต่งกายด้วยชุดไทเลยแบบคอตั้งแขนสั้นนุ่งกางเกงขายาวธรรมดา
3. ชุดแต่งกายสำหรับงานพิธีการต่าง ๆ หรืองานบุญประเพณี เช่น งานดอกฝ้ายบานฯ งานปีใหม่ จะนิยมแต่งกายด้วยชุดไทเลยแบบคอตั้งแขนสั้นหรือแขนยาว นุ่งกางเกงขายาวธรรมดา
4. ชุดแต่งกายสำหรับไปปฏิบัติงานทางการเกษตรจะนิยมแต่งกายด้วยเสือ้คอกลมผ่าอกตลอด สีหม้อนิล (สีย้อมคราม) กางเกงชาวนาขาสั้นสีหม้อนิล มีผ้าขาวม้าคาดเอวและใช้พร้าขัดหลัง สวมกุบ สะพายย่าม สวมรองเท้าแตะหนังสัตว์แห้ง
ส่วนผู้หญิงเสื้อจะเป็นคอกลมผ่าอกตลอด เอวจั๊ม แขนยาวสามส่วน ชายเสื้อคลุมสะโพก กระดุมจะมีลักษณะสีเดียวกับผ้า ส่วนซิ่น(ผ้าถุง)เป็นผ้าฝ้ายหรือผ้าไหมที่ทอจะมีลายเส้นสีต่าง ๆ รวมไปถึงลวดลายพื้นเมืองโบราณของจังหวัดเลย เมื่อนุ่งจะเป็นทรงยาวลงตามลำตัวหัวต่อชายด้วยผ้าขิด ซึ่งชุดการแต่งกายของผู้หญิงไทเลยจะมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ
1. ชุดไทเลยที่ประยุกต์มาจากชุดไทยล้านช้าง จะมีลักษณะเสื้อคอกลมผ่าอกตลอดติดกระดุมเอว เอวจั๊มขอบเอวกว้างหนึ่งนิ้วครึ่ง เอวเสื้ออยู่นอกผ้าซิ่น ใช้ผ้าฝ้ายสีล้วนในการตัดเย็บส่วนผ้าซิ่นใช้ผ้าฝ้ายที่ทอในจังหวัดเลยจะนุ่งเป็นผ้าซิ่นหรือตัดเย็บสำเร็จรูปก็ได้ โอกาสที่ใช้ถ้าเป็นแบบแขนสามส่วน เอวจั๊มใช้สำหรับงานพิธีต่าง ๆ เข้าเฝ้าหรือรับเสด็จฯ งานราตรีสโมสร งานบุญประเพณี เช่น ปีใหม่ ลอยกระทง งานดอกฝ้ายฯ แต่ถ้ามีผ้าแถบคาดอกใช้สำหรับงานราตรีสโมสร การประกวดเทพี
2. ชุดไทเลยที่ประยุกต์จากชุดไทเลย จะมีลักษณะของเสื้อแขนสั้นสามส่วน สำหรับโอกาสที่ใช้เสื้อแขนสั้นใช้ไปทำงาน ไปวัด ส่วนแขนสามส่วนใช้สำหรับเป็นชุดทำงานไปวัด งานบวช งานทำบุญ งานแต่งงาน แต่ถ้าใส่ผ้าเบี่ยงจะใช้สำหรับไปงานประเพณีต่าง ๆ ใช้ใส่เป็นพิธีกรในงานต่าง ๆ
แต่ในอดีตผู้ชายจะนุ่งโสร่งไหมหรือโสร่งฝ้ายแทนกางเกงขายาว หรือนุ่งผ้า ก่อม (กระโจงเบน) และจะมีมีดด้ามงาซึ่งถือเป็นเครื่องประดับเสียบไว้ที่พุงเวลาไปวัด ส่วนผู้หญิงจะสวมเสื้อมะกะแหร่ง นุ่งผ้าซิ่นฝ้ายที่ย้อมด้วยสีหม้อนิลมีร่องสีขาวและใช้ผ้าเบี่ยงตก (สไบเฉียง)
ชาวไทเลย จะมีนิสัยใจคอเหมือนกับชนเชื้อชาติโบราณ ซึ่งไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงไปจากดั้งเดิม มีสำเนียงพูดที่แปลกและนิ่มนวล พูดสุภาพและไม่ค่อยพูดเสียงดัง กิริยามารยาทดีงามอารมณ์เยือกเย็นไม่วู่วาม มีนิสัยรักความสงบเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รักถิ่นที่อยู่ไม่ค่อยอพยพไปอยู่ที่อื่น ส่วนทางด้านวัฒนธรรมประเพณีที่ปฏิบัติสืบทอดต่อกันมา ได้แก่ “ฮีตสิบสอง – คลองสิบสี่” คือการทำบุญตามประเพณีทั้งสิบสองเดือนของแต่ ละปี
บ้านชาวไทเลย เป็นเรือนหลังใหญ่ ยกพื้นสูงมีระเบียงหรือชานยื่นออกมาหน้าเรือนและมีเรือนครัวซึ่งส่วนใหญ่จะสร้างแยกต่างหากโดยมีชานต่อเชื่อมติดกัน สำหรับ หลังคาของเรือนนอนมุงด้วยหญ้าคาหรือไม้แป้นเก็ด ฝาเรือน พื้นเรือนนิยมทำด้วยไม้แผ่นเรียกว่าไม้แป้น ส่วนเสาจะใช้ไม้เนื้อแข็งเป็นต้น ๆ หรืออิฐก่อเป็นเสาใหญ่ มีบันไดไม้พาดไว้สำหรับขึ้นลง ส่วนเรือนครัวมุงด้วยหญ้าคา ฝาและพื้นจะนิยมทำด้วยฟากไม้ไผ่สับแผ่ออกเป็นแผ่นและเสาจะทำด้วยไม้เนื้อแข็งเช่นกัน
2. ชาวไทดำ อพยพมาจากแคว้นพวน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในปัจจุบัน ในปีพุทธศักราช 2417 พวกฮ่อยกกำลังมาตีเมืองเชียงขวาง ซึ่งเป็นหัวเมืองสำคัญของแคว้นพวน จึงได้ขอความช่วยเหลือมายังไทยโดยมีพระยาภูธราภัยเป็นแม่ทัพคุมกองทัพไปปราบฮ่อ ผลการปราบฮ่อครั้งนี้ไทยชนะและไทยได้ใช้นโยบายอพยพผู้คนจากแคว้นพวนเข้ามายังประเทศไทย ชาวไทดำถูกกวาดต้อนมาถึงกรุงเทพฯ ภายหลังพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ไปตั้งหลักแหล่งที่บ้านหมี่คลองสนามแจง จังหวัดลพบุรี จนกระทั่ง 8 – 9 ปีเจ้าเมืองบริขันธ์มาทูลขอราษฎรกลับไปยังเมืองเชียงขวางตามเดิม โดยเริ่มอพยพตามเส้นทางขึ้นมาเรื่อย ๆ จนได้มาพักที่บ้านน้ำก้อใหญ่ อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ต่อมาไทดำกลุ่มหนึ่งได้เดินทางข้ามแม่น้ำโขงไปยังบ้านน้ำกุ่ม แขวงเวียงจันทร์ แต่ในขณะนั้นเขตเวียงจันทร์ มีปัญหาเจรจากับฝรั่งเศสไทดำจึงข้ามแม่น้ำโขง ย้อนกลับมาตั้งหมู่บ้านที่บ้านตาดซ้อ ตำบลเขาแก้ว อำเภอเชียงคาน อยู่ได้ระยะหนึ่งจึงอพยพมาตั้งถิ่นฐานที่บ้านนาเบนและได้อพยพมาตั้งหลักแหล่งถาวรที่บ้านนาป่าหนาด ตำบลเขาแก้ว อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย เมื่อปีพุทธศักราช 2448 โดยมีจำนวนครัวเรือน 15 หลัง ปัจจุบันชาวไทดำมีจำนวนครัวเรือนทั้งหมด 828 หลัง
วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวไทดำจะมีระเบียบแบบแผนเป็นของตนเอง ซึ่งอยู่บนบรรทัดฐานของความเชื่อและพิธีกรรมกต่าง ๆ เช่นความเชื่อเรื่องผีเรือนและพิธีเซ่นผีเรือน ความเชื่อเกี่ยวกับหมอรักษาหรือเจ้าบ้าน พิธีเลี้ยงเจ้าบ้าน เป็นต้น
3. ชาวไทพวน อพยพมาตั้งหลักแหล่งที่บ้านบุฮม และบ้านกลาง อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ถิ่นฐานเดิมอยู่ที่เมืองเตาไห หลวงพระบางสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เมื่อครั้งที่พวกจีนฮ่อ กุลา เงี้ยว รุกรานเมืองเตาไห 4 พ่อเฒ่า คือ พ่อเฒ่าก่อม พ่อเฒ่าห่าน พ่อเฒ่าเพียไซ พ่อเฒ่าปู่ตาหลวง เป็นผู้นำชาวพวนกลุ่มหนึ่งอพยพมาจากหลวงพระบาง ล่องตามแม่น้ำโขงมาตั้งถิ่นฐานที่บ้านบุฮม ต่อมาผู้คนส่วนหนึ่งได้มาอยู่ที่บ้านกลางอีกแห่งหนึ่งแล้วเรียกตัวเองว่า “ไทพวน”
ชาวไทพวนนั้นมีความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายแบบสังคมชนบททั่วไป มีอาชีพเกษตรกรรม การทอผ้า การตีเหล็ก ทำเครื่องเงิน เครื่องทอง บ้านเรือนของชาวไทพวนจะยกพื้นสูงมีใต้ถุนเรือนใช้ทำประโยชน์ได้หลายอย่าง เช่น ทำคอกวัว คอกควาย ฯลฯ
4. ชาวไทใต้ ได้อพยพมาจากภาคอีสานเข้ามาตั้งถิ่นฐานในจังหวัดเลย ส่วนใหญ่มาจากจังหวัดกาฬสินธุ์ อุบลราชธานี ยโสธร โดยได้อพยพเข้ามาเมื่อปีพุทธศักราช 2505 และมีจำนวนเพิ่มขึ้น ในปีพุทธศักราช 2508 จะพบชาวไทใต้จำนวนมากที่กิ่งอำเภอเอราวัณ
ชาวไทใต้ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำไร่ทำสวน ปลูกข้าว เลี้ยงสัตว์ สภาพบ้านเรือนจะเป็นกระต๊อบและนิยมสร้างบนที่ดอนน้ำท่วมไม่ถึง หลังคามุงด้วยหญ้าคา โดยอกไก่ จั่ว ดั้ง และระแนง จะทำจากไม้ทำหน้าที่ยึดและรับน้ำหนัก ฝาบ้านจะนำไม้ไผ่สับหรือที่เรียกว่า “ฟาก” มาสานเข้าด้วยกันเป็นลวดลายแล้วติดเข้ากับตัวบ้านโดยใช้ไม้ไผ่ขัดเอาไว้ ส่วนพื้นบ้านจะปูด้วยฟากเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีชานบ้านและเรือนครัวที่สร้างยื่นออกมาจากส่วนหน้าโดยมีระดับลดต่ำกับตัวบ้าน เสาบ้านจะทำจากไม้เนื้อแข็งและบันไดก็จะทำจากไม้ไผ่หรือไม้เนื้อแข็ง โดยทั่วไปบ้านของชาวไทใต้ในอดีตจะทำห้องเพียงห้องเดียวคือห้องนอน และใต้ถุนจะยกสูงเพื่อใช้เลี้ยงสัตว์และใช้เป็นที่เก็บอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ
วิถีชีวิตของชาวไทใต้ จะมีน้ำใจเอื้อเฟ้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือซึ่งกันและกันและมีภาษาพูดที่แตกางจากชาวไทเลย ทั้งนี้เพราะได้สืบทอดวัฒนธรรมทางด้านภาษามาจากถิ่นเดิมของตน เช่น ภาษาไทอีสานหรือภาษาลาวจากอุบลราชธานี ภาษาไทโคราช จากจังหวัดนครราชสีมา ในส่วนของขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวไทใต้ไม่ค่อยแตกต่างจากคนอีสานทั่วไปคือฮีตสิบสอง ซึ่งเป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบกันมานาน
อ้างอิงมาจาก www.nukul.ac.th
เป็นร่องรอยบันทึกที่ดีครับ…ขอชื่นชม
เป็นร่องรอยบันทึกที่ดีครับ…ขอชื่นชม