นวัตกรรมท้องถิ่นไทย
วันนี้ (3 ส.ค.48) สกว. นัดประชุมประเมินผลงานและหาแนวทางขยายผลโครงการวิถีใหม่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในประเทศไทย ซึ่งดำเนินการเสร็จไปแล้ว มีผลงานสำคัญคือ นามานุกรมนวัตกรรมท้องถิ่นไทย ประจำปี 2547
ข้อค้นพบที่สำคัญของโครงการนี้คือ ยืนยันว่ามีเรื่องราวและผลงานดี ๆ เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นที่ริเริ่มเองโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมากมาย รวมกว่า 500 เรื่อง
เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมมาก
ผมเพิ่งเข้าใจว่าในวิชาการด้านการปกครองเขาถือเป็นวิถีใหม่ขององค์กรปกครองท้องถิ่น โดยมีนิยามดังนี้ “วิถีใหม่ขององค์กรปกครองท้องถิ่นเป็นวิธีการหรืออุบายเพื่อการส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพและคุณภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างหนึ่ง หลักการของวิถีใหม่คือการค้นหาต้นแบบหรือกรณีตัวอย่างที่ดีจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวนหนึ่ง และใช้เป็นบทเรียนเบื้องต้นสำหรับท้องถิ่นอื่น ๆ เพื่อจุดประกายความคิด สร้างแรงบันดาลใจให้มีการริเริ่ม ค้นหา และพัฒนาที่หลากหลาย เป็นพลวัตในวงกว้างมากขึ้น”
ทีมวิจัยมีข้อสรุปว่า การกระจายอำนาจมีผลต่อการเกิดนวัตกรรม
ตรงนี้ผมรู้สึกว่าเป็นข้อสรุปเชิงกำปั้นทุบดิน คล้ายสรุปว่าการมีน้ำอุดมสมบูรณ์มีผลต่อการมีปลา
แต่ก็พอจะเข้าใจได้ว่า นี่เป็นงานวิจัยในหมู่ของ “นักปกครอง” ซึ่งมีวัฒนธรรมเน้นการควบคุมสั่งการ ทีมวิจัยพยายามบอกว่านักปกครองต้องปกครองให้น้อยลง ต้องให้อิสระแก่ท้องถิ่นมากขึ้น นวัตกรรมด้านต่าง ๆ ในท้องถิ่นจึงจะเกิดขึ้นได้
ผมนั่งฟังการนำเสนอผลการวิจัย และการวิพากษ์วิจารณ์ในที่ประชุม มองเห็นพหุมิติของเรื่องนี้อย่างชัดเจน นักปกครองมองเขม้นที่มิติของการกระจายอำนาจการปกครอง ผมมองเขม้นที่ผลประโยชน์ของประชาชน และมองที่การเรียนรู้ร่วมกันในบ้านเมือง ทำให้มีการเรียนรู้จากทุกกิจกรรมในทุกหย่อมหญ้าของสังคม
ผมได้เสนอยุทธศาสตร์ดำเนินการต่อ 5 ด้าน ซึ่งต้องทำร่วมกันทั้ง 4 ด้านดังนี้
1. การวิจัย ควรวิจัยเรื่องนวัตกรรมท้องถิ่นไทย/วิถีใหม่ขององค์กรปกครองท้องถิ่น/การกระจายอำนาจการปกครอง อย่างน้อย 4 แนวทาง
1.1 การวิจัยเชิงระบบ เชิงกฎระเบียบ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของ อปท.
1.2 การวิจัยเชิงเทคนิค หรือวิธีการที่จะทำให้ อปท. ดำเนินการได้ดี
1.3 การวิจัยย้อนทางจากเรื่องราวความสำเร็จของนวัตกรรม หาความรู้เชิงทฤษฎีจากความสำเร็จนั้น
1.4 การวิจัยสร้างความรู้ความเข้าใจบทบาทของ อปท. ในการทำหน้าที่แนวใหม่ คือหน้าที่สนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิตของชาวบ้าน ทำให้ท้องถิ่นของตนเป็นท้องถิ่นเรียนรู้ ในยุคสมัยของ knowledge – based society
2. การสื่อสารสาธารณะ เอาผลสำเร็จของนวัตกรรม และผลวิจัยออกสู่สังคม แต่ต้องมีการจัดการการสื่อสารในรูปแบบใหม่ ที่เน้นกระแสสังคมเป็นตัวตั้ง
3. เครือข่ายการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่าง อปท. โดยมีกลไกการจัดการเครือข่าย ให้มีฐานข้อมูลให้บริการอำนวยความสะดวกการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และมีการจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้แบบ F2F และ B2B
4. มหกรรมนวัตกรรมท้องถิ่นไทย จัดอย่างสม่ำเสมอทุก 1 – 2 ปี เชื่อมโยงกับกิจกรรม ข้อ 1 - 3
5. การเชื่อมโยงกับนวัตกรรมที่ชุมชนในท้องถิ่นริเริ่มกันเอง ภายใต้การสนับสนุนจากหลากหลายแหล่ง
ยุทธศาสตร์ผมเสนอต่อที่ประชุมทั้ง 5 จะมี KM เป็นเครื่องมือ คือต้องดำเนินการแบบ km inside ผมคิดว่า อปท. น่าจะพัฒนา “คุณอำนวย” ขึ้นทำหน้าที่ตามข้อ 1.4
รศ. จรัส สุวรรณมาลา หัวหน้าโครงการวิจัย บรรยากาศการประชุม
วิจารณ์ พานิช
3 ส.ค.48
ไม่มีความเห็น