วิถีจีน-ไทย ในสังคมสยาม
…ชาวจีนในประเทศไทยได้เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารเป็นเวลาช้านาน อย่างน้อยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย ขณะเดียวกันส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมจีนในไทยก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทย และส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทยก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมจีนในไทยเช่นเดียวกัน นี่ย่อมแสดงอย่างแจ้งชัดว่า ได้มีการผสมผสานซึ่งกันและกันระหว่างวัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรมจีนอย่างสนิทแนบแน่น...
...เพราะเหตุใดเล่า ที่วัฒนธรรมไทยกับวัฒนธรรมจีนสามารถผสมผสานซึ่งกันและกันอย่างสนิทแนบแน่นเช่นนั้น
ข้อสงสัยนี้ หนังสือ “วิถีจีน-ไทยในสยาม” ได้เฉลยไว้แล้วอย่างสมเหตุสมผล ละเอียดลออและแจ่มแจ้งชัดเจน...
(จากคำนำเกียรติยศ : ประพฤทธิ์ ศุกลรัตนเมธี)
ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพิเศษ เรื่อง วิถีจีน-ไทยในสังคมสยาม ของ ผศ.แสงอรุณ กนกพงศ์ชัย นักวิชาการทางด้านสังคมศาสตร์ เป็นผู้มีประสบการณ์ทางด้านการเขียนบทความและตำราที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมไทยและจีน ไม่ว่าจะในเรื่อง หุ่นจีนไหหลำในเมืองไทย ความกตัญญูของชาวจีนที่สะท้อนผ่านพิธีกงเต็กในสังคมไทย วัฒนธรรมจีนในสังคมไทย และสำหรับหนังสือวิถีจีน-ไทยในสังคมสยามเล่มนี้ ผู้แต่งได้แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวไทยและชาวจีนที่มีความสัมพันธ์กันตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีความผสมผสานกลมกลืนกันทางวัฒนธรรมไทย-จีนที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินไทย ทำให้เข้าใจถึงความแตกต่างของคนทั้งสองชาติ พร้อมกับยอมรับในความแตกต่างนั้นอย่างเคารพ เพื่อให้เกิดความสามัคคีกันระหว่างคนในชาติไม่ว่าจะเป็นคนไทยเชื้อชาติใดก็ตาม หนังสือเล่มนี้ ผู้แต่งได้ศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากทั้งข้อมูลที่เป็นเอกสาร ภาพถ่าย และศึกษาค้นคว้าจากการลงพื้นที่ทางภาคสนาม ไปยังสถานที่ต่างๆ ที่มีความสำคัญเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทยและจีน จึงทำให้ผู้อ่านได้รับความรู้จากหลักฐานอ้างอิงที่หลากหลาย เกิดความคิดที่กว้างไกล โดยผู้แต่งได้แบ่งเนื้อหาออกเป็น 10 บท ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 4 ส่วน ดังนี้
ส่วนแรก คือบทที่1-3 ผู้แต่งได้กล่าวถึงประวัติศาสตร์ของประเทศจีน ที่นอกจากจะมีพื้นที่ประเทศกว้างใหญ่ไพศาลแล้วยังมีความเจริญรุ่งเรืองในด้านวิทยาการต่างๆ ที่เห็นได้จากประเทศจีนได้มีการคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ขึ้นก่อนชาติทางตะวันตก เช่น การพิมพ์ การสร้างกระดาษ เข็มทิศ การสร้างดินปืน และนอกจากประเทศจีนจะมีความเจริญรุ่งเรืองทางด้านวิทยาศาสตร์แล้วยังให้ความสำคัญกับเรื่องมนุษย์ จิตวิญญาณ และธรรมชาติ ดังจะเห็นได้จากมีนักปรัชญาเกิดขึ้นในประเทศจีนจำนวนมาก เช่น ขงจื่อที่เน้นการพัฒนาตนเองให้เป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรม เป็นต้น จากนั้นเป็นการกล่าวถึงความสัมพันธ์ของไทยและจีนโดยเริ่มจากที่ประเทศไทยส่งเครื่องราชบรรณาการไปยังจีนตั้งแต่ในสมัยอยุธยา ซึ่งตอนนั้นอยุธยาเป็นเมืองท่าค้าขายสำคัญที่เชื่อมโยงกับหลายประเทศทั้งทางตะวันออกและตะวันตก ทำให้พ่อค้าชาวจีนเข้ามาตั้งร้านขายสินค้าอยู่ในประเทศไทยตามหัวเมืองต่างๆ จำนวนมาก แต่เมื่อกรุงศรีอยุธยาได้เสียเอกราชให้แก่พม่า ทำให้ทั้งคนไทยและคนต่างชาติที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยได้รับความเดือดร้อน และในเวลานั้นพระเจ้าเมืองตาก ซึ่งเป็นคนไทยเชื้อสายจีนได้รวบรวมพลเมืองซึ่งมีชาวจีนเป็นหลักสำคัญในการต่อสู้เพื่อกอบกู้เอกราชของไทย เมื่อได้รับชัยชนะก็ได้มาตั้งราชธานีใหม่ที่กรุงธนบุรี ทำให้คนจีนที่อยู่ในประเทศไทยได้รับการยกย่องและยอมรับจากคนในสังคมต่อเนื่องมาจนถึงในสมัยรัตนโกสินทร์ จึงมีผลให้คนจีนเข้ามาทำมาหากินในประเทศไทย ประกอบกับในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ประเทศจีนมีปัญหาจากการล่าอาณานิคมของตะวันตกและความอ่อนแอของการปกครองภายในประเทศ ชาวจีนจึงอพยพเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้นเป็นลำดับ
ส่วนที่สอง คือบทที่4-6 ผู้แต่งได้กล่าวถึงวิถีชีวิตไทยจีนที่มีความผสมผสานกัน จนเกิดศิลปกรรมใหม่ๆ ขึ้น ที่ผสมผสานระหว่างคนสองชาติ เช่น การสร้างโบสถ์วิหารของไทย ซึ่งแต่เดิมมักจะตกแต่งด้วยช่อฟ้า ใบระกา และหางหงส์ ซึ่งเป็นเครื่องไม้ทำให้มีอายุการใช้งานได้ไม่นาน จึงมีการเปลี่ยนมาเป็นการตกแต่งด้วยปูนและกระเบื้องเคลือบแบบจีน เพื่อให้เกิดความแข็งแรงทนทานมากขึ้น หรือการใช้เทคนิควิธีการเขียนพู่กันแบบจีน ซึ่งช่างไทยนำมาใช้เขียนภาพต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้ให้ภาพดูอ่อนกวานและนุ่มนวลขึ้น รวมถึงการแปลวรรณกรรมของจีนที่มีชื่อเสียง เช่นสามก๊ก เพื่อนำมาใช้เป็นตำราสู้รบ ส่วนในด้านวัฒนธรรมคนไทยก็ได้รับอิทธิพลจากชาวจีนมาเป็นจำนวนมาก จนวัฒธรรมบางอย่างหากไม่มีการศึกษา คนไทยบางคนอาจคิดว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชาติ เนื่องจากมีความผสามผสานกันอย่างสอดคล้อง เช่น วัฒนธรรมในด้านอาหารที่คนไทยแต่เดิมมักบริโภคผักสดเพื่อแกล้มกับน้ำพริกเท่านั้น แต่เมื่อคนจีนนำวัฒนธรรมด้านการบริโภคผักสุก จึงทำให้เกิดอาหารประเภทผัดผัก ต้มจืดขึ้น ซึ่งเป็นอาหารที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย
ส่วนที่สาม คือบทที่7-9 ผู้แต่งได้กล่าวถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่คนจีนเข้ามาอยู่ในประเทศไทย จากการที่คนจีนได้อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ส่วนใหญ่ก็ประสบความสำเร็จในการค้าขายและประกอบกิจการต่างๆ จึงทำให้คนจีนที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยมีบทบาทในการพัฒนาประเทศ โดยการอบรมสั่งสอนคนในครอบครัวให้เป็นคนมีความกตัญญู ซื่อสัตย์ ขยัน อดทนในการทำงาน เห็นคุณค่าของการศึกษาและการแสวงหาความรู้ ทำให้คนกลุ่มนี้เป็นต้นกำเนิดของชนชั้นกลาง โดยผู้แต่งได้ยกตัวอย่างชาวไทยเชื้อสายจีนที่ได้มีส่วนร่วมต่อการสร้างสรรค์สังคมไทยนับจากอดีตมาสู่ปัจจุบัน เช่น เหียกวงเอี่ยม ผู้ที่อพยพเข้ามาในประเทศไทย ใช้ความขยัน อดทนในการก่อร่างสร้างตัวจนได้เป็นผู้ปกครองคนจีนทั้งหมดในประเทศไทย และเป็นผู้ที่มีมีความกตัญญูต่อผืนแผ่นดินไทยด้วยการเป็นผู้หนึ่งที่รวมพลังชาวจีนในประเทศไทยต่อต้านการเข้ามาตั้งกองทัพของญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้ประเทศไทยไม่ต้องตกอยู่ในฐานะประเทศที่พ่ายแพ้สงคราม นอกจากประโยชน์ที่ได้รับจากการที่มีคนจีนอพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยแล้ว ผู้แต่งยังกล่าวถึงผลกระทบในเชิงลบที่เกิดขึ้นจากการที่คนจีนเข้ามาในประเทศไทย โดยได้นำความเสื่อมโทรมทางด้านศีลธรรมเข้ามาปะปนด้วย เช่น การตั้งโรงบ่อนที่มีการพนันหลายชนิด เช่น กำถั่ว โพ ไพ่ หรือแม้กระทั่งการก่อตั้งโรงโสเภณี โรงยาฝิ่น โรงเหล้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้คนไทยเองก็ให้ความนิยมตามวิถีจีนจนทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลงไปด้วย
ส่วนที่สี่ คือบทที่10 ผู้แต่งได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ไทย-จีนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาประเทศ จากความสัมพันธ์ไทย-จีนที่มีมาช้านานดังปรากฏให้เห็นในด้าน ศิลปะ ประเพณี ความเชื่อ วิถีชีวิต และการอบรมเลี้ยงดู ในลักษณะที่กลมกลืนและแน่นแฟ้นจึงทำให้ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองชาติเป็นไปด้วยดี และที่สำคัญสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยได้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอย่างต่อเนื่อง ในปัจจุบันประเทศจีนมีการเปิดประเทศมากขึ้น และไทยเป็นประเทศแรกที่ทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีหรือเอฟทีเอกับประเทศจีน ดังนั้นจึงควรที่จะใช้ความสัมพันธ์ในอดีตเพื่อเชื่อมโยงมาถึงปัจจุบัน และในปัจจุบันประเทศจีนมีการมีการเปิดการเรียนการสอนภาษาไทยมากกว่าที่ไทยมีการเรียนการสอนภาษาจีน ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างกันได้ดังนั้นหากประเทศไทยมีการศึกษาทางด้านวัฒนธรรมจีนมากขึ้นก็จะช่วยเพิ่มความเข้าใจอันดีต่อกันและนำไปสู่การพัฒนาต่อไปอีกด้วย ทำให้ในส่วนท้ายซึ่งเป็นภาคผนวกของหนังสือเล่มนี้ผู้แต่งได้รวบรวมรายชื่อวิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมไทยจีนเพื่อให้ผู้ที่ต้องการศึกษาในแง่มุมใดมุมหนึ่งอย่างละเอียดต่อไปได้ค้นคว้าเพิ่มเติมอีกด้วย
จากเนื้อหาที่กล่าวมาทั้งหมดในหนังสือเล่มนี้นี้ทำให้เกิดแนวคิดเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้คนไทยและจีนเกิดความผสมผสานกลมกลืนกันได้ สิ่งที่มีความสำคัญที่สุดคือสถาบันพระมหากษัตริย์ทรงให้การสนับสนุน โดยมีการส่งเสริมให้คนจีนเข้ามาทำมาหากินในประเทศไทยโดยที่ไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงานและสามารถทำมาหากินได้ทั่วราชอาณาจักรไทย และเมื่อมีคนจีนอพยพเข้ามาในประเทศไทยเพิ่มขึ้นทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนจีนกันขึ้น พระมหากษัตริย์ไทยก็ทรงแต่งตั้งให้ชาวจีนปกครองกันเองโดยคัดเลือกชาวจีนที่มาอยู่เมืองไทยเป็นเวลานานซึ่งมีความรู้ในขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมประเพณีไทยเป็นอย่างดีให้เป็นหัวหน้าในการปกครองชาวจีนที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทย จึงช่วยทำให้บ้านเมืองมีความสงบร่มเย็นมากขึ้น นอกจากนี้สถาบันพระมหากษัตริย์ยังทรงให้คนจีนที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยมีการเปลี่ยนจาก แซ่ มาเป็นนามสกุลที่สอดคล้องกับคำหรือความหมายเดิมของแซ่นั้น ทำให้คนจีนที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยเกิดความรักในแผ่นดินไทย และยังเป็นการแสดงถึงเชื้อสายเดิมที่สืบทอดมาจากประเทศจีนด้วย และในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเสด็จเยือนประเทศจีนบ่อยครั้ง และทรงเป็นเจ้าฟ้าพระองค์แรกในโลกที่เสด็จครบทุกมลฑลในประเทศจีน โดยทุกครั้งที่เสด็จฯ จะทรงศึกษาทำความเข้าใจในสิ่งที่ทรงพบเห็นอย่างลึกซึ้งเท่าที่โอกาสอำนวยและทรงมีงานพระนิพนธ์ที่เกี่ยวข้องกับประเทศจีนออกมาตีพิมพ์เผยแพร่อยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้กระทรวงศึกษาธิการของจีนจึงได้ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลมิตรภาพด้านภาษาและวัฒนธรรมแด่พระองค์ท่าน ดังนั้นสถาบันพระมหากษัตริย์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ความสัมพันธไทยจีนมีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
นอกจากนี้การมีพื้นฐานความเชื่อทางพระพุทธศาสนาเหมือนกันของชาวไทยและชาวจีนก็มีส่วนช่วยสร้างความกลมเกลียวระหว่างทั้งสองชาติได้ แม้ว่าชาวจีนจะนับถือลัทธิต่างๆ เช่น ขงจื่อ เต๋า แต่หลักธรรมคำสอนก็มีความสอดคล้องกับพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติไทย เห็นได้จากมีการสร้างวัดจีนขึ้นในประเทศไทย โดยรัชกาลที่5ทรงโปรดตั้งวัดหลวงแห่งแรกของจีนโดยพระราชทานนามอย่างไทยว่า มังกรกมลาวาส ซึ่งตรงกับภาษาจีนว่า เล่งเน่ยยี่ และทรงให้คณะสงฆ์ของจีนได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ตาลปัตรพัดยศเช่นเดียวกับพระสงฆ์ของไทยด้วย อีกทั้งยังมีชาวไทยเชื้อสายจีนที่สนใจศึกษาพระพุทธศาสนา ดังเช่น เสถียร โพธินันทะ ผู้ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญที่มีส่วนช่วยในการเผยแพร่ศาสนา ทำให้เห็นว่าแม้ท่านจะเป็นลูกหลานชาวจีน แต่น้ำใจในการเอื้อเฟื้อในหลักธรรมของท่านแผ่กระจายไปโดยไม่จำกัดเชื้อชาติและศาสนา
ในด้านลักษณะนิสัยความมีน้ำใจของคนไทยและคนจีนก็มีความสอดคล้องคล้องกัน เห็นได้ชัดเจนจากการก่อตั้งมูลนิธิป่อเต็กตึ้ง ซึ่งมีคหบดีจีนชื่อยี่กอฮงเป็นผู้ก่อตั้งขึ้นเพื่อเก็บศพไร้ญาติ โดยมีรัชกาลที่6 พระราชทานทุนช่วยเหลือโดยเห็นว่าการเก็บศพไร้ญาติของคนจีนเป็นมีส่วนช่วยหน่วยราชการทางด้านสาธารณะสุข เนื่องจากสังคมไทยในสมัยก่อนหากมีศพไร้ญาติก็จะถูกทิ้งไว้ไม่มีใครมาจัดการ หรือถ้าเกิดโรคระบาดมีการตายกันมากๆ ก็จะหามศพไปทิ้งไว้ที่วัดสระเกศ ซึ่งอยู่นอกกำแพงเมือง แล้วปล่อยให้นกแร้งมาจิกกินเป็นอาหาร ต่อมาในช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 มีชาวจีนที่อพยพเข้ามาประเทศไทยด้วยเรือกลไฟ และในแต่ละเที่ยวก็จะบรรทุกผู้คนมาเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดโรคระบาดร้ายแรงขึ้น ดังนั้นเมื่อมาถึงกรุงเทพฯ จึงมักถูกกักกันไว้ในเรือจนกว่าทุกคนจะหายขาดจากโรค ขณะนั้นนายอุเทน เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ้งจึงเข้ารับดูแลผู้ป่วยเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน โดยนำอาหาร น้ำสะอาด และยารักษาโรค เข้าไปช่วยเหลือต่อเนื่องกัน จนชาวจีนที่อพยพเข้ามานั้นมีอาการดีขึ้น นอกจากนี้ภาระกิจที่สำคัญของมูลนิธิป่อเต็กตึ้งคือในขณะที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 มูลนิธิยังได้มีส่วนช่วยทั้งชาวไทยและชาวจีนที่ประสบภัยจากสงคราม ขาดแคลนอาหาร น้ำดื่ม หรือแม้กระทั่งช่วยปฐมพยาบาล เก็บศพที่เป็นเหยื่อจากสงครามและผู้ตายที่ไร้ญาติตลอดในช่วงสงคราม ด้วยความมีน้ำใจช่วยเหลือระหว่างกันนี้ ทำให้มูลนิธิป่อเต็กตึ้งกับชาวไทยและจีนมีความผูกพันกัน และมีส่วนช่วยให้ชาวไทยและจีนมีความความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันและอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
ดังนั้นหนังสือเล่มนี้จึงเหมาะสำหรับทุกคน ทำให้ทราบถึงความเป็นมาของวัฒนธรรมไทยที่มีการผสมผสานกับวัฒนธรรมจีน เพื่อนำวัฒนธรรมที่ดีของทั้งสองชาติมาปรับใช้ให้เข้ากับสภาพของสังคมไทยในปัจจุบัน และนอกจากนี้ยังช่วยให้เกิดความสัมพันธ์อันดีต่อชาวจีนที่อยู่ในประเทศไทย และชาวจีนที่อยู่ในประเทศจีนด้วย อันจะส่งผลให้เกิดความร่วมมืออันดีต่อกันทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมในอนาคตต่อไป
เอกสารอ้างอิง
แสงอรุณ กนกพงศ์ชัย. วิถีจีน-ไทยในสังคมสยาม. กรุงเทพฯ : มติชน, 2550.
ในด้านลักษณะนิสัยความมีน้ำใจของคนไทยและคนจีนก็มีความสอดคล้องคล้องกัน เห็นได้ชัดเจนจากการก่อตั้งมูลนิธิป่อเต็กตึ้ง ซึ่งมีคหบดีจีนชื่อยี่กอฮงเป็นผู้ก่อตั้งขึ้นเพื่อเก็บศพไร้ญาติ โดยมีรัชกาลที่6 พระราชทานทุนช่วยเหลือโดยเห็นว่าการเก็บศพไร้ญาติของคนจีนเป็นมีส่วนช่วยหน่วยราชการทางด้านสาธารณะสุข
เพิ่งทราบข้อมูล ขอบคุณครับ
ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ ขออนุญาติเอาข้อมูลบางส่วนมาใช้ด้วยนะคะ
คนจีนแท้ๆ ในไทยตัวเตี้ยสั้นจำนวนมาก และไม่ขาวมากมาย ขาวแพ้คนเหนือที่เชื่อว่าเป็นคนไทยจากภูเขาอัลไตตัวจริง
เพื่อนที่โรงเรียนชื่อหมวย แต่ตัวดำเถ่าถ่าน คนเชื้อจีนไม่ได้ขาวจริง เพราะผู้ชายจีนแต่งกับคนดำ ไม่ใช่คนที่มียีนส์ผิวขาว คนแถวบ้านมีเชื้อจีนตัวคล้ำมากๆๆ
แต่เพื่อนที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาและเพื่อนที่ทำงานหลายคน ไม่ใช่คนเชื้อสายจีนเลย แต่เป็นคนผิวขาว ขาวมากๆ มีผิวออกอมชมพู แต่เป็นคนกลุ่มน้อยที่เรียนเก่งมากๆ
เรามีเพื่อนเป็นคนเหนือที่จุฬาฯ หนึ่งคน เป็นคนขาวมากระดับน้ำนมเลย ซึ่งเชื่อว่าเป็นคนไทย/ไท/ไตตัวจริงจากภูเขาอัลไต
ยายเราก็มีผิวเหลืองๆ ไม่คล้ำ ไม่ใช่คนเชื้อสายจีนด้วย เพียงแต่เป็นคนกลุ่มน้อย
คนจีนแท้ๆ ในไทยจำนวนมากก็สอบตกเข้ามหาลัยอันดับของไทยไม่ได้ สอบเข้าได้ก็ไม่ได้ที่หนึ่ง ผิดกับคนผิวขาวที่ไม่ใช่เชื้อจีนซึ่งเชื่อว่าเป็นลูกหลานคนไทยจากภูเขาอัลไตหรือพวกมอญ-เขมรขาวแต่เป็นคนกลุ่มน้อย
เพื่อนเราที่โรงเรียนเตรียมอุดมฯ อีกคนผิวขาวมาก มากกว่าคนจีนอีก มีแม่เป็นคนไทยผิวเหลืองๆ และมีพ่อเป็นพม่า เรียนเก่งมากสอบได้เกียรตินิยมของจุฬาด้วย แต่เป็นคนกลุ่มน้อย
กษัตรย์ไทยปัจจุบันก็ไม่มีเชิ้อสายจีนเลย แต่เป็นพวกมอญขาว ตากสินเป็นลูกครึ่งและถูกฆ่าล้างโครตทั้งตระกูล กษัตรย์ไทยก็ไม่ได้สืบเชื้อสายมาจากคนจีน
คนดำทั้งประเทศไม่ใช่คนไทยโดยสายเลือดแต่เป็นคนไทยโดยวัฒนธรรม
วัฒนธรรมบ้านเราเป็นวัฒนธรรมผสมระหว่างวัฒนธรรมไทยจากภูเขาอัลไต มอญและเขมร ส่วนวัฒนธรรมจีนก็เป็นพวกที่มีเชื้อจีนซึ่งถ้าให้นับสายเลือดอีกครั้งจะพบว่าแทบไม่มีใครมีเชื่อสายจีนอีก
วัฒนธรรมไทยจะคล้ายเอเซียตะวันออก เช่น ชุดครองราชย์ของกษัตย์จะเป็นชุดคลุมยาวเมืองหนาวและสวมหมวกทรงสูงคล้ายชุดมองโกล ชุดเทวดาไทยเป็นชุดคลุมยาวกับหมวกทรงสูงอีกเหมือนกัน ชุดหมอฮ่อมก็คล้ายชุดกีเพ้าของพวกแมนจูที่ปกครองคนฮั่นหรือจีน วัฒนธรรมการโกนหัวจุกก็คล้ายพวกแมนจูเพราะคนไทยจากภูเขาอัลไตเคยอาศัยอยู่ในเอเซ๊ยตะวันออกมาถึง 4,000 ปีก่อนลงมาอยู่ในดินแดนตอนล่าง กองทัพไทยมีการแต่งกายคล้ายพวกมองโกล เส้นน้ำเงี้ยวของคนเหนือคล้ายอาหารของคนเอเซียตะวันออก(จีนเกาหลีญี่ปุ่น) วัฒนธรรมสยามจะมุ่งเน้นที่หมวกทรงทรงที่เรียกว่า ชฏา ซึ่งเป็นลักษณะวัตฒนธรรมคล้ายพวกมองโกล คนมองโกลชอบใส่หมวกเป็นวัฒนธรรม
ชุดมอญ-เขมรจะเป็นชุดสไบ รับอากาศร้อน แต่วันครองราชย์กษัรตย์ไทยแต่งชุดคลุมยาวเมืองหนาวกับหมวกทรงสูงของคนไทยจากภูเขาอัลไตซึ่งคล้ายชุดมองโกล
คนจีนไม่เคยปกครองคนผิวดำ ผิดกับคนมอญ-เขมรหรือคนไทยจากภูเขาอัลไตที่มีผิวขาว ซึ่งมีประวัติยึดแดนปกครองคนผิวดำทางตอนล่าง