การเรียนรู้ตลอดชีวิตกับชาวนา (๑๖)
ขอนำรายงานของมูลนิธิข้าวขวัญ ตอนที่ ๑๖ มาลงต่อนะครับ ตอนนี้เป็นเรื่องของการสำรวจผลของการเรียนรู้ในช่วงเวลา ๖ เดือน อย่าลืมว่ารายงานนี้ สคส. ได้รับเมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๔๗ นะครับ โปรดสังเกตตารางแสดงชีวิตความเป็นอยู่ของชาวนาก่อนและหลังกิจกรรม ๖ เดือนนะครับ เมื่อได้เห็นตารางนี้ในการนำเสนอของนักเรียนโรงเรียนชาวนาในเวทีสรุปการเรียนรู้ช่วง ๖ เดือนแรก ผมก็ดีใจจนเนื้อเต้น พอดีทีมประเมิน สคส. ไปนั่งฟังอยู่ด้วย ผลกระทบต่อ “สุขภาวะ” ของนักเรียนชาวนาที่ประเมินตนเองเช่นนี้ จึงมีส่วนช่วยให้ สคส. ได้รับการประเมินอยู่ในระดับ “น่าพอใจ” และมีส่วนทำให้เราได้รับอนุมัติให้ต่ออายุโครงการไปอีก ๒ ปี คือจาก ๓ ปี เป็น ๕ ปี โดยงบประมาณเท่าเดิม
บทเรียนของการเรียนรู้
ตอนที่ 16 เชื่อมจุดความหวัง
ตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา จากช่วงสงกรานต์ถึงช่วงลอยกระทง จากชาวนาสู่การเป็นนักเรียนชาวนา เป็นนักเรียนชาวนาแล้วได้อะไรบ้าง? จากการเรียนรู้ในหลักสูตรการจัดการศัตรูพืชโดยชีววิธี ตามโครงการส่งเสริมการจัดการความรู้ เรื่องการทำนาข้าวในระบบเกษตรกรรมยั่งยืน หลังจากที่มูลนิธิข้าวขวัญจัดกิจกรรมในเวทีต่างๆ ผ่านโรงเรียนชาวนาไปได้หนึ่งระยะ และก่อนหน้านี้ เราๆท่านๆได้มานั่งจับเข่าคุยกันรอบใหญ่ไปแล้วว่า นักเรียนชาวนามีวิถีชีวิตเป็นอย่างไร? เป็นทุกข์เป็นปัญหากันอย่างไร?
จากการเปิดเวทีตั้งโจทย์และหาเพื่อนร่วมทาง นานาทุกข์ นานาปัญหาของนักเรียนชาวนาจึงพรั่งพรูออกมา แล้วนำเสียงเหล่านี้มารวมกันกำหนดเป้าหมายและทิศทางร่วมกัน จึงทราบถึง ความคาดหวังของนักเรียนชาวนา ความคาดหวังจึงสะท้อนให้เห็นว่านักเรียนชาวนาขาดสิ่งใด แล้วมูลนิธิข้าวขวัญจะช่วยเข้าไปเติมให้เพื่อหวังว่าสักวันหนึ่ง ความเต็มเปี่ยมจะเป็นพลังให้นักเรียนชาวนาได้วัฒนา
นักเรียนชาวนาวัฒนาแล้วหรือยัง?
คำตอบของเรื่องราวทั้งหมด ควรจะต้องดูความพึงพอใจของนักเรียนชาวนาว่า ได้เป็นไปตามที่คาดหวังกันบ้างหรือยัง? จากเวทีเพื่อนเยี่ยมเพื่อนทุก 3 เดือน เวทีสัญจรที่จัดเป็นการศึกษาดูงานไปตามพื้นที่ชุมชนทั้งต่างๆ จากเวทีสรุปบทเรียนชาวนาทุก 6 เดือน ซึ่งก็เป็นครั้งแรกที่ได้มีการทบทวนพร้อมตรวจสอบดูถึงความพึงพอใจและความคาดหวัง เพื่อจะนำผลที่ได้มาปรับปรุง การทำงานของเจ้าหน้าที่ พร้อมกับแผนงานกิจกรรมที่ได้วางไว้เดิม ให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด
จากเวทีสรุปบทเรียน ใน 6 เดือนแรก (ครั้งแรก) นี้ นักเรียนชาวนาได้ช่วยสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างในจังหวะก่อนการเรียนรู้เปรียบเทียบกับจังหวะหลังการเรียนรู้ในหลังสูตรแรก ได้ ดังนี้
ลำดับที่ |
ก่อนการเรียนรู้ |
หลังการเรียนรู้ |
1 |
มีต้นทุนการทำนาสูง อยู่ในช่วงระหว่าง 3,000 – 3,500 บาท ต่อไร่ |
ความสามารถในการลดต้นทุนการทำนาลง เหลือ 750 – 1,300 บาท ต่อไร่ |
2 |
มีความรู้ในด้านเทคนิคการเกษตรน้อย |
ได้รับความรู้ที่สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริง ได้แก่ |
ลำดับที่ |
ก่อนการเรียนรู้ |
หลังการเรียนรู้ |
- การใช้จุลินทรีย์ย่อยสลายฟาง (ทำเอง) - การทำปุ๋ยหมักชีวภาพ - การใช้สมุนไพรทดแทนสารเคมี - การเรียนรู้เรื่องแมลง - การทำนาแบบล้มตอซัง - การทำนาแบบดำนาต้นเดียว |
||
3 |
ขาดความสนใจเรื่องการบัญชี |
- มีความละเอียดและประณีตในการทำนา มากขึ้น - เรื่องการเงิน มีความละเอียดรอบคอบ ในการทำบัญชีมากขึ้น (ทำบันทึกรายรับ และรายจ่าย) |
4 |
การใช้ชีวิตร่วมกันในชุมชนอย่างไม่สนใจใคร (ตัวใครตัวมัน) |
มีความสมัครมากขึ้น รักกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันมากขึ้น มีเครือข่ายหรือเพื่อนที่มีความคิดเดียวกันมากขึ้น |
5 |
ไม่มีเวลาว่าง |
มีเวลาว่างมากขึ้น สามารถอยู่กับครอบครัว สามารถเข้าไปช่วยเหลืองานชุมชนได้มากขึ้น ทำให้ครอบครัวเข้มแข็ง และชุมชนเข้มแข็ง |
6 |
สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม |
สิ่งแวดล้อมดีขึ้น ดินดี น้ำสะอาด อากาศไม่เหม็น เพราะมีอากาศธรรมชาติเพิ่มมากขึ้น |
7 |
สุขภาพร่างกายไม่ดี |
- สุขภาพร่างกายดีขึ้น เจ็บป่วยน้อยลง - มีความสุขมากขึ้น สุขภาพจิตดีขึ้นมาก |
8 |
มีภาระหนี้สินมาก (เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ) |
- หนี้สินไม่เพิ่ม - นักเรียนชาวนาส่วนใหญ่สามารถชำระ หนี้สินที่มีอยู่ให้เหลือน้อยลงได้ |
9 |
ประเพณีท้องถิ่น โดยเฉพาะประเพณีที่เกี่ยวกับข้าวหายไป |
- มีการฟื้นฟูประเพณีและพิธีกรรมที่ เกี่ยวกับข้าวขึ้นมาอีกครั้ง - ทำให้เกิดความรู้สึกรักและเคารพ แผ่นดินและข้าว (แม่โพสพ) มากยิ่งขึ้น |
และจากกรณีศึกษาตัวอย่าง เรื่องบทสรุปการเรียนรู้ของโรงเรียนชาวนาบ้านดอน ตำบล บ้านดอน อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี พบว่านักเรียนชาวนามีปัญหาและอุปสรรคในการมาเป็นนักเรียนชาวนาหลายประเด็น ได้แก่
(1) ความไม่พร้อมของสามีหรือภรรยาของนักเรียนชาวนา
(2) มีข้อจำกัดในเรื่องของเวลา ไม่สามารถมาเข้าเรียนตามเวลาได้ เพราะติดทำงานประกอบอาชีพ จึงมาเรียนสาย
(3) สนุกและเพลินกับการพูดคุยเรื่องสถานการณ์ในปัจจุบัน จนทำให้เรื่องหลักๆที่จะต้องเรียนรู้ในห้องเรียนไม่เพียงพอ ส่งผลกระทบให้การทำกิจกรรมในห้องเรียนกระชั้นชิดเวลาเกินไป
(4) ชาวบ้านทั่วไปในชุมชนไม่เข้าใจในเรื่องของการเรียนรู้ของนักเรียนชาวนา จึงทำให้คิดว่าเป็นพวกบ้า แต่เมื่อมาเข้าร่วมการเรียนรู้จึงได้มากกว่าที่คาดคิดเอาไว้
(5) การใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพไม่ทันใจเท่ากับการใช้ปุ๋ยเคมี
(6) ยังขาดความเข้าใจในเรื่องของการนำปุ๋ยหมักไปใช้ในนาอย่างไรให้เหมาะสม
(7) เกิดความสับสน กังวลใจ และยังไม่มั่นใจในการใช้สูตรยาสมุนไพรต่างๆ สูตรใดจึงจะดี
(8) ยังต้องพึงพาหนี้สินอยู่ เพราะไม่มีทุนเป็นของตนเอง
(9) กังวลในเรื่องของการเรียนรู้ กลัวจะเรียนตามเพื่อนๆไม่ทัน
(10) เมื่อได้มาเรียนรู้แล้ว ไม่นำไปปฏิบัติจริง ทำให้สมาชิกในครอบครัวบ่น
(11) ยังไม่เข้าใจและอยากจะเรียนรู้ถึงโทษภัยของสารเคมีและสิ่งตกค้างที่เป็นพิษในอาหาร
(12) ยังไม่เข้าใจและอยากจะเรียนรู้เรื่องสมุนไพรที่ใช้ทดแทนสารเคมี
นอกจากนี้ ยังได้พบว่านักเรียนชาวนาบ้านดอนยังมีทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ในโรงเรียนชาวนาอีก เช่น ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องหญ้าในนาข้าวได้ (คุมหญ้าไม่ได้) มีความกังวลใจว่าจะปรับเปลี่ยนวิธีการทำนาไม่สำเร็จ และมีความเป็นกังวลในเรื่องของราคาข้าว ที่เกรงว่าจะได้ไม่คุ้มทุน
ในประเด็นต่างๆเหล่านี้ ทางมูลนิธิข้าวขวัญจะต้องนำไปจับเข่าคุยกันอีก โดยเฉพาะในเรื่องของความรู้ความเข้าใจที่จะสร้างให้นักเรียนชาวนามีความเชื่อมั่นและมั่นใจต่อการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำนา
แล้วนักเรียนชาวนาบ้านดอนได้อะไรจากการเรียนรู้ในโรงเรียนชาวนาบ้าง?
(1) ได้ความรู้และได้ปฏิบัติจริงในเรื่องเทคนิคทำปุ๋ยหมักชีวภาพ
(2) ได้แลกเปลี่ยนความรู้และได้ทำงานร่วมกันในเรื่องการเพาะพันธุ์สมุนไพร การทำยาสมุนไพร
(3) ได้รู้จักตัวแมลงที่มีประโยชน์และโทษต่อข้าว โดยเฉพาะในแปลงนาของตนเอง
(4) ได้รู้จักเพื่อนนักเรียนชาวนา และได้ร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ มีน้ำใจซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดความรัก ความสามัคคีในหมู่คณะระหว่างกลุ่มนักเรียนชาวนาด้วยกัน
(5) ได้รู้ถึงวิธีการทำนาแบบล้มตอซัง
(6) ได้รู้จักการใช้และการผลิตจุลินทรีย์ที่นำไปใช้ในแปลงนา
(7) มีความตั้งใจที่จะลด ละ เลิก การใช้สารเคมี
(8) มีความเชื่อมั่นในการทำนาปลอดสารเคมีและสามารถนำไปปฏิบัติได้จนเห็นผลจริง
(9) มีความสุข มีความภูมิใจที่ได้มีโอกาสเรียนรู้ และอยากจะนำความรู้ที่ได้ถ่ายทอดให้ลูกหลานสืบต่อไป
นี่เป็นผลสะท้อนจากสิ่งที่นักเรียนชาวนาบ้านดอนได้รับ ซึ่งได้เคยคิดหวังเอาไว้มาตั้งแต่เมื่อครันที่ได้แสดงความคาดหวังในเวทีตั้งโจทย์ ก่อนการเรียนรู้ ตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา เสียงของนักเรียนชาวนาจึงสามารถเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นได้ว่า เป็นไปตามความคาดหวังที่ได้หวังไว้ ในหลายๆสิ่งนักเรียนชาวนาได้คำตอบแล้ว และยังมีอีกหลายๆสิ่งที่รอการค้นหาคำตอบอยู่ กล่าวคือ ยังต้องเรียนรู้ต่อไปอีกเรื่อยๆ เป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต
สิ่งที่นักเรียนชาวนาได้คำตอบแล้ว หรือยังรอการเรียนรู้เพิ่มเติมเพื่อให้ได้คำตอบเพิ่มเติม สามารถพิจารณาดูได้จากผลความคาดหวังที่ตั้งใจไว้
<table cellspacing="0" cellpadding="0" border="1">
</table><table cellspacing="0" cellpadding="0" border="1">
</table><p> หมายเหตุ
(1) สัญลักษณ์ หมายถึง ความคาดหวังของนักเรียนชาวนาได้รับการตอบสนองแล้วเกิดความพึงพอใจมาก
(2) สัญลักษณ์ หมายถึง ความคาดหวังของนักเรียนชาวนาได้รับการตอบสนองแล้วเกิดความพึงพอใจปานกลาง
(3) สัญลักษณ์ หมายถึง ความคาดหวังของนักเรียนชาวนาที่โรงเรียนชาวนายังไม่ได้ตอบสนองให้ (ทั้งนี้ต้องรอให้เป็นไปตามกระบวนการและระยะเวลา)
คำตอบที่นักเรียนชาวนาได้รับ ความพึงพอใจที่ตอบสนอง เจ้าหน้าที่สังเกตได้จากรอยยิ้มบนใบหน้าของนักเรียนชาวนา เมื่อคุณกิจยิ้มได้ คุณอำนวยก็มีความสุขเช่นกัน
เมื่อประมวลผลเพื่อให้ได้เห็นถึงพัฒนาการในแต่ละช่วงจังหวะตามขั้นตอน ตั้งแต่พบเจอโจทย์ปัญหา ความทุกข์ยาก เสียงเงียบที่ไม่มีพลังของนักเรียนชาวนา มาจนถึงขั้นตอนของ การเรียนรู้ต่างๆ ภายในระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา มีพัฒนาการดังนี้</p>
<table cellspacing="0" cellpadding="0" border="1">
</table>
ผลจากการเรียนรู้ทำให้นักเรียนชาวนาได้เรียนรู้เรื่องการทำนาแบบลดต้นทุนจนเห็นผล เรียนรู้เรื่องเทคนิคเกษตรแบบต่างๆ และนอกจากนี้ พัฒนาการจะแสดงให้เห็นได้ว่า นักเรียนชาวนามีสุขภาพกายสุขภาพจิตที่ดีมากขึ้น รู้จักตนเอง และเป็นคนที่ไม่เห็นแก่ตัว รู้จักการแบ่งปันความรักให้แก่ผู้อื่น นำไปสู่การสร้างความสามัคคี
ผลความคาดหวังของนักเรียนชาวนาที่เข้าร่วมการเรียนรู้ได้ช่วยเพิ่มรอยยิ้มให้กับทุกคน สำหรับการประเมินผลโครงการเป็นตามแผนตามประเด็นที่ทำให้ได้ข้อคิดที่น่าควรคิด แต่ การประเมินผลชีวิตในอนาคตของนักเรียนชาวนาเป็นสิ่งที่น่าคิดมากกว่า แผนการทำนาในอนาคตข้างหน้าที่จะนำนักเรียนชาวนาก้าวไปสู่เกษตรกรรมยั่งยืนจึงเป็นเรื่องที่ต้องปฏิบัติกันอย่างต่อเนื่อง จึงจะพัฒนาให้นักเรียนชาวนาได้วัฒนา
ผมอ่านรายงานการประเมินตนเองของนักเรียนชาวนาแล้วก็เกิดความประทับใจอย่างยิ่ง และคิดย้อนกลับไปเมื่อสมัยเมื่อผมยังหนุ่มๆ ที่ยังเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย อาจารย์มหาวิทยาลัยไม่มีความสามารถในการตนเองดีอย่างนี้ สงสัยว่าคงเป็นเพราะชาวบ้านมีอิสระทางความคิดมากกว่า และน่าจะเป็นผลของแนวคิดแบบ KM ที่หล่อหลอมให้นักเรียนชาวนาใช้การประเมินตนเองเป็นเครื่องมือช่วยการเรียนรู้ร่วมกันของกลุ่ม
วิจารณ์ พานิช
๕ มิ.ย. ๔๘
<p> </p>
</font> </font>
ไม่มีความเห็น