สกอ. มีหนังสือส่งมาเมื่อวันที่ 22 มี.ค.49 เชิญไปร่วมประชุมเสวนาแสดงความคิดเห็นต่อร่างต้นฉบับตำราเรื่องนี้ในวันที่ 27 มี.ค.49 ซึ่งการเชิญประชุมกระชั้นอย่างนี้ผมหมดสิทธิ์ เพราะเวลานัดของผมเต็มล่วงหน้า 1 - 2 เดือน หน่วยราชการส่วนใหญ่มักนัดกระชั้นเสมอ จึงฟลุ๊กจริง ๆ ที่ผมจะเข้าร่วมได้คราวนี้ไม่ฟลุ๊ก ผมจึงไม่มีโอกาสไปร่วม
แต่ไหน ๆ สกอ. ก็ส่งต้นฉบับมาให้แล้ว ก็ช่วยออกความเห็นเสียหน่อย ผมมี 2 ความเห็นเท่านั้นครับ
1.
สไตล์การเขียนแบบนี้เป็นแบบเริ่มด้วยทฤษฎีที่มีการอ้างอิง
คือสไตล์วิชาการ
จะเป็นหนังสือที่อ่านยากหรือไม่ดึงดูดใจให้อ่าน
2. เนื้อหา
ผมอยากเห็นเนื้อหาจากประสบการณ์ตรงของผู้เขียนจากหลากหลายสาขาวิชาในบริบทไทย
ที่เขียนนี้เขียนกลาง ๆ ในเชิงหลักการ
ผมคิดว่ามีประโยชน์น้อย
แต่หนังสือตามต้นฉบับที่ส่งมาให้ผมก็มีประโยชน์นะครับ มีความรู้หลายอย่างที่ผมไม่รู้มาก่อน เกือบลืมบอกไปว่าตำรานี้เขียนโดย รศ. ดร. ชนิตา รักษ์พลเมือง และ ศ. ดร. สมหวัง พิธิยานุวัฒน์
วิจารณ์ พานิช
23 มี.ค.49
เห็นด้วยกับท่านอาจารย์ วิจารย์ ครับ
หนังสืออ่านตามหลักวิชาการ/ทฤษฏี นั้นมีเยอะแล้วครับ และถึงแม้บางเรื่องอาจจะมีน้อยแต่ก็ไม่ค่อยน่าอ่าน เพราะไม่น่าติดตาม อ่านแล้วไม่สนุก ไม่เห็นภาพ ไม่เหมือนการเขียนจากประสบการณ์จริงครับ
ผมเชื่อว่าอาจารย์ผู้เขียนทั้งสองท่าน เป็นคนเก่ง และมีประสบการณ์เรื่องนี้มานานและมากมาย ถ้าเขียนจากประสบการณ์และความรู้สึก/การจดบันทึกในชีวิตประจำวัน ก็จะอ่านกันไม่หวาดไม่ไหว แต่ก็น่าอ่านและอ่านได้มากกว่าตำราวิชาการนะครับ
แต่ถ้าหนังสือเล่มนี้ออกวางตลาดก็คงจะต้องหามาเก็บไว้สักเล่ม ดูจากชื่อหนังสือแล้วน่าสนใจครับ เผื่อได้นำมาใช้ในชีวิตประจำวันครับ
การส่ง paper ไปนำเสนอ ไม่ว่าโดยการตีพิมพ์, โปสเตอร์ หรือโดยการเสนอด้วยวาจา ต้องมีความรับผิดชอบต่อความแม่นยำและครบถ้วน นี่คือจรรยาบรรณในการวิจัย หรือจรรยาบรรณวิชาการ
การลงชื่อคนอื่นร่วมใน paper โดยไม่ให้เขาได้รับรู้ก่อน ถือว่าผิด เพราะเราอาจเขียนโดยมีข้อความหรือความเห็นที่เขาคิดว่าผิด ก็ได้ เขาต้องร่วมเสียชื่อโดยไม่รู้ตัว
ยังมีประเด็นอื่นอีกเยอะครับ ที่นักวิชาการต้องระมัดระวัง
วิจารณ์ พานิช