เขียนบทความประชันกับ โรล็องด์ บาร์ตส์ (Roland Barthes) ว่าด้วยเรื่องมา(ร)ยาคติ (Mythologies) และสัญญวิทยา (semiology)


กาฝากเถาวัลย์+ต้นไม้ : นกแร้ง+นกกระยาง : ขวา+ซ้าย

กาฝากเถาวัลย์+ต้นไม้ :

ศาสนาพุทธ สอนว่า จงเห็นตัณหา ๓ (๑. กามตัณหา ๒. ภวตัณหา ๓.วิภวตัณหา) เหมือนเถาวัลย์ที่พันต้นไม้ แล้วที่สุดต้นไม้ก็จะตาย จงรีบตัดรากเถาวัลย์นี้ด้วยปัญญาเถิด

 
สุนทรภู่ คงได้รับอิทธิพลทางความเชื่อนี้ แล้วนำมา สอดแทรกไว้ในพระอภัยมณีคำกลอน ตอนเมื่อพระฤๅษีสอนสุดสาคร หลังถูกชีเปลือยผลักตกหน้าผา เอาม้ามังกรและไม้เท้ากายสิทธิ์ไป ไว้ความว่า
 
แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์        มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวจนเลี้ยวลด   ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน

จะเห็นได้ว่า สุนทรภู่ (คนโบราณ) ท่านเปรียบเทียบ จิตใจมนุษย์นั้น คด(โกง) เหมือนเถาวัลย์ เถาวัลย์นี้ก็คือ ตัณหา ๓ ภายในจิตใจมนุษย์นั่นเอง ฉะนั้น เถาวัลย์ จึงถูกใช้เป็นสัญลักษณ์แทน ตัณหา ภายในจิตใจมนุษย์แต่ต่อมา เถาวัลย์ ถูกใช้ในความหมายที่ขยายกว้างขึ้น โดยนำไปใช้เป็นสัญลักษณ์ของผู้หญิงซึ่งขาดความอบอุ่นที่พยามเกาะเกี่ยวพัวพัน กับผู้ชาย เพื่อแสวงหาแสงสว่าง(ความอบอุ่นให้กับชีวิต) ดังตัวอย่างประโยคที่ว่า

"ความคดโค้งของเถาวัลย์ ความไหวของใบหญ้า ความนุ่มของดอกไม้ ความระยับของแสงแดด น้ำตาของหมอก เอาสิ่งเหล่านี้มาผสมกันเข้า ได้ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ผู้หญิง"

ผู้ชายผู้ซึ่งถูกเถาวัลย์(ผู้หญิง) พัวพันเกาะเกี่ยว นั้นก็ต้องระวัง เพราะพระผู้มีพระภาคท่านตรัสเตือนไว้ว่า จงเห็นตัณหา ๓ (๑. กามตัณหา ๒. ภวตัณหา ๓. วิภวตัณหา) เหมือนเถาวัลย์(ผู้หญิง) ที่พันต้นไม้(ผู้ชาย) แล้วที่สุดต้นไม้ก็จะตาย จงรีบตัดรากเถาวัลย์นี้ด้วยปัญญาเถิด

นกแร้ง+นกกระยาง :

๏ ยางขาวขนเรียบร้อย    ดูดี
ภายนอกหมดจดสี          เปรียบฝ้าย
กินสัตว์เสพปลามี           ชีวิต
เฉกเช่นชนชาติร้าย        นอกนั้นนวลงาม ฯ
 
๏ รูปแร้งดูร่างร้าย          รุงรัง
ภายนอกเพียงพึงชัง      ชั่วช้า
เสพสัตว์ที่มรณัง            นฤโทษ
ดังจิตสาธุชนกล้า          กลั่นสร้างทางผล ฯ

โคลงโลกนิติสองบทนี้ สอนว่าด้วยเรื่องการมองคนว่า ไม่ควรมองคนที่รูปลักษณ์ภายนอก โดยเปรียบเทียบว่าคนที่ผิว ขาวๆ อวบๆ สวยๆ หล่อๆ สีผิวราวกับขนของนกกระยาง มีอากัปกริยาเชื่องช้านุ่มนวล  แต่ทว่าจิตใจของเขาผู้นั้นอาจจะโหดร้ายทารุณ คือไม่งดงามเหมือนรูปกายภายนอกก็ได้ (นกกระยางกินปลาขนาดเล็กในแม่น้ำเป็นอาหาร จึงต้องเคลื่อนไหวช้าๆ :นกกระยางใจคอโหดร้าย กินปลาเป็นๆ) ส่วนคนที่มีรูปร่างน่าตา น่าเกลียด น่ากลัว ตัวดำๆ เหมือนนกอีแร้ง กระโดดไปกระโดดมา มีอากัปกริยากระโดกกระเดก แต่ทว่าเขาผู้นั้น อาจจะเป็นผู้ที่มีจิตใจที่ดีงาม (นกอีแร้งกินแต่ซากสัตว์ ไม่กินสัตว์ที่มีชีวิต มีอากัปกริยากระโดกกระเดก แต่นกอีแร้งก็เป็นนกที่มีจิตใจที่ดีงามเพราะไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเหมือนนกกระยาง) 

โคลงโลกนิติสองบทนี้ สอนว่าไม่ควรตัดสินคนเพียงเพราะเห็นว่า ขาวๆ อวบๆ สวยๆ หล่อๆ กริยามารยาทแช่มช้า แล้วด่วนตัดสินว่าเขาผู้นั้นเป็นคนดี ซึ่งในความเป็นจริง คนที่ขาวๆ อวบๆ สวยๆ หล่อๆ มีกริยามารยาทอันแช่มช้านี้ก็อาจจะเป็นได้ทั้งคนดี และคนเลว เช่นเดียวกันกับคนที่มี รูปชั่ว ตัวดำ มีอากัปกริยาที่กระโดกกระเดก ก็อาจจะเป็นได้ทั้งคนดี และคนเลวด้วยได้ด้วยเช่นกัน

ในคัมภีร์ทีฆนิกายสีลขันธวรรค กล่าวไว้ว่า ทุชฺชาโน สมโณ ทุชฺชาโน พรฺาหฺมโณ แปลว่า สมณะรู้ได้ยาก พราหมณ์ก็รู้ได้ยาก การที่จะ รู้ว่าใครคือสมณะ หรือเป็นพราหมณ์ที่แท้นั้น ต้องอยู่ใกล้ชิดนานๆ ด้วยเหตุนี้ การที่จะดูคน ว่าดีหรือเลว จึงดูได้ยากเพราะต้องใช้เวลา (หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน) แล้วอะไรล่ะที่ดูได้ง่าย  ในคัมภีร์ อรรถกถา อังคุตนิกาย กล่าวไว้ว่า  กุทฺธา นาม สุวิชานา โหติ ธรรมดาว่าคนที่โกรธแล้ว เป็นผู้ที่ใครๆ ก็รู้ได้โดยง่าย (คนโกรธมี อาการหน้าแดง คิ้วขมวด ตาแข็งกร้าว พอมองเห็นก็รู้ว่าโกรธนั่นเอง) สรุปได้ว่า ความโกรธนั้นดูง่ายเพราะปิดยาก ส่วนความดี ความเลว นั้นดูได้ยาก   แต่ถึงกระนั้น นกกระยางก็ดี นกอีกแร้งก็ดี ที่กล่าวมาข้างต้นนี้ เป็นแต่เพียงสัญลักษณ์ในเชิง สัญญวิทยา (semiology) เท่านั้น ทั้งหมดทั้งมวลล้วนแล้วแต่เป็น มา(ร)ยาคติ (Mythologies)

ขวา+ซ้าย :

ขวาซ้ายนั้นเป็นสมมติบัญญัติ อันเกิดจากการมองเห็นภาพบนเรตินาในตาของเรา ขนาดของภาพบนเรตินาเป็นส่วนกลับของระยะห่างของวัตถุ  ภาพใกล้ ๆ ตาจะมองเห็นรายละเอียดได้มากกว่า ภาพที่อยู่ไกลๆ ฉะนั้นก่อนที่จะวิเคราะห์ว่าภาพที่เห็นนี้ อะไรอยู่ซ้าย อะไรอยู่ขวา ควรที่จะพิจารณาให้ทราบแน่ชัดเสียก่อนว่า ภาพที่เห็นนี้ หยาบ  หรือ ละเอียด (ซึ่งจะทำให้ท่านผู้อ่านทราบได้ว่าท่านอยู่ใกล้ หรืออยู่ไกลจากสถานกาณ์ที่มองเห็น) ข้อสำคัญในการมองก็คืออย่าให้ เส้นผมบังภูเขา


ที่มาของบทความ : 

ผู้เขียนยืนมองเห็น นกกระยาง กำลังจะหาที่เกาะยังยอดต้นงิ้ว  อันว่าต้นงิ้วต้นนี้ ก็กำลังจะถูกเถาวัลย์ เกาะเกี่ยวผูกพัน อีกไม่นานต้นงิ้วต้นนี้ ก็คงจะลำบาก ส่วนนกกระยางก็คงจะอดตาย เพราะต้นงิ้วย่อมไม่ใช่ที่พำนักอันเกษมของนกกระยาง ผู้เขียนมองเห็นสถานการณ์ดังกล่าว แล้วก็อยากที่จะปีนต้นงิ้ว เอ้ย อยากเอาก้อนหินปาไล่นกกระยาง และอยากเอามีดไป ฟันรากเถาวัลย์ เพื่อช่วยต้นงิ้ว แต่พิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก็เกิดปัญญา และตระหนักรู้ได้ว่า สัตว์โลกนั้นย่อมเป็นไปตาม(ยถา)กรรม จึงได้แต่นำมาเขียนเป็นบทความ เพื่ออธิบายในเชิง สัญญวิทยา (semiology)  ที่มีลักษณะเป็น  มา(ร)ยาคติ (Mythologies)

หมายเลขบันทึก: 204203เขียนเมื่อ 29 สิงหาคม 2008 15:12 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน 2012 22:45 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (11)

สวัสดีครับคุณกวิน

แวะมาทักทายครับ หวังว่าคงสบายดีนะครับ

จริงครับ บางเรื่องราว เราไม่เข้าใจ ไม่อาจอธิบาย และบางทีก็ยังช่วยไม่ได้ด้วย...

จะเป็นต้อง...พิจารณาให้เกิดปัญญา และตระหนักรู้ได้ว่า สัตว์โลกนั้นเป็นไปตาม(ยถา)กรรม ...

ไม่รู้ต้องลงท้ายว่า...เรื่องก็เอวังลงด้วยประการฉะนี้หรือเปล่า...

ได้แต่ให้กำลังใจว่า...ให้คุณกวินเป็นอิสระ ไม่กังวลกับอะไรที่ช่วยไม่ได้ ...สุดปัญญา ความสามารถ

จงให้อิสระ...กับตัวเอง...

โชคดีครับ

สวัสดี่ครับคุณใบโพธิ์

เมื่อวานผมได้คุยกะเจ๊เต๋า ทางเอมเอสเอ็น เพราะเจ๊แกให้เมลของแก โดยฝากมากะนายเจย์ซึ่งเป็นเพื่อนของผม เจ๊แกบอกว่าให้แอดเมลเจ๊แกหน่อย เจ๊เต๋าแกจบ รัฐศาสตร์ ที่จุฬา (จำได้ว่าเคยอ่านเจอในบันทึกคนไม่มีรากว่าคุณใบโพธิ์ ก็กำลังต่อโทที่จุฬา ใช่มั้ยครับ) 

เจ๊เต๋าตอนนี้คงใกล้จะจบ ป.เอก แล้ว เจ๊แกเคยสอนอยู่ที่ มช. สมัยก่อนผมไม่ค่อยถูกกะเจ๊แก เคยวิวาทะกัน ต่อมาเจ๊แกฝากบอกกะนายเจ ว่าอยากให้ผมอ่านพวกหนังสือต่างประเทศเยอะๆ กว่านี้จะได้คุยกันรู้เรื่อง อะไรทำนองนี้ (หนังสือต่างประเทศที่เจ๊แกแนะนำผม ผมจำได้หนึ่งในนั้นก็คือหนังสือที่เขียนโดย Roland Barthes) ซึ่งนักรัฐศาสตร์ สมัยใหม่ นั้นย่อมต้องศึกษาแนวคิดของ Barthes เพราะมันเชื่อมโยงกับความคิดของ Michel Foucault และของ Jacques Derrida ผมพยามเดินตามรอย ของ Barthes , Foucault และ Derrida โดยพยามคิดๆ เขียนๆ บทความนี่ล่ะครับ

  • แวะมาเยี่ยมค่ะ
  • พี่ไม่อยากให้มีทั้งขวาและซ้าย
  • อยากให้มีคนกลางมายุติปัญหาที่กำลังเกิดอยู่นี้นะคะ

ขอบคุณครับ คุณพี่ naree suwan ว่างๆ จะเขียนเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องการเมืองดีมั้ยครับ

สวัสดี่ค่ะน้องกวิน

บทความอ่านเพลินเสริมสร้างและประเทืองปัญญาน้อยๆของพี่

ได้แนวทางการมอง การคิดวิเคราะห์นะคะบางทีคนเรามองจากรูปลักษณ์ภายนอกดูสวยหล่อแต่ !เบื้องลึกแอบแฝงความเลือดเย็นไว้มากโข  มองให้ถึงจิตวิญญาณคงต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าเขาหรือเธอจะเผยตัวตนออกมาให้เห็นดังเช่นนกกระยาง ตัวสวยและอีแร้งตัวดำ.....ขอบคุณค่ะ..................................

สวัสดีครับพี่นุส nussa-udon พี่นุสนี่ก็เข้าข่าย สวยๆ ขาวๆ เหมือนกันนะครับ งั้นผมขอไม่ไว้วางใจพี่ไว้ก่อนนะครับ (ล้อเล่นนะครับ) ใช่ครับการจะตัดสินว่าคนๆ นี้ดีหรือไม่ นั้นต้องดูกันนานๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ นับอสงไข (คงไม่ถึงขนาดนั้น) คือต้องดูกันไปนานๆ นะครับ

สรุปได้ดีนะคะ ^__^ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

การมองคนแล้วตัดสินจากภายนอก โดยเอาจิตเราปรุงแต่งจากประสบการณ์ของเราทำให้เราอ่านคนหรือดูคนผิดกันมานักต่อนัก

อิ อิ อย่างหนอนซ้ายมือ กึ๋ยยยย...ขี้เหร่มั่กๆ แต่กลายเป็นผีเสื้อแสนสวยได้ เราคงต้องใช้เวลาให้ความจริงแท้เปิดเผยตัวเองตามจังหวะเวลาของมันนะคะ

สวัสดีครับพี่นุส เห็น ตัวบุ้ง แล้วขยะแขยง ต้องเอาไม้ทุบๆๆๆ (สมัยเด็ก) แต่เห็นผีเสื้อแล้วเราก็กลับวิ่งไล่จับ ตอนโตพึ่ง รู้ว่าตัวบุ้ง ที่น่าเกลียดนั้นต่อมามันจะกลายเป็นผีเสื้อ ก็เลยมานึกๆดูว่า ถ้าบุ้งคือ สัญญลักษณ์ของ คนที่มีจิตใจไม่ดี ก็แล้วเมื่อไรเขาจะยอมลอกคราบเสียทีน้า...ถ้าลอกคราบแล้ว ก็จะกลายเป็นผีเสื้อแสนสวย...

มาชม คุณกวิน

กับมุมคิดดี ๆ เช่นนี้นะ

อยู่แดนใต้ ไม่เจอต้นงิ้วเลยละ ฮิ ฮิ ฮิ

ขอบคุณท่านอาจารย์ ดร.อุทัย (umi)  ครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท