ผมเป็นคนไร้เดียงสาทางการเมือง ไม่ได้เอาใจใส่ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด จึงตื่นตาตื่นใจมากเมื่อได้ร่วมวงอาหารเที่ยงกับคนระดับรองปลัดกระทรวง ผู้ทรงคุณวุฒิระดับ ๑๑ อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด อธิการบดี เลขาธิการ และอดีตทั้งหลาย คุยกันเรื่องความคับขันของสถานการณ์ยั่วยุการเผชิญหน้าของทั้ง ๒ ฝ่าย คือฝ่ายขับไล่ กับฝ่ายเชียร์ เมื่อวันที่ ๑๑ มีค. ที่โรงแรมรอยัล ปริ๊นเซส หลานหลวง ในการประชุมของ สถาบันส่งเสริมการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ศ. ดร. ปรัชญา เวสารัชช ได้รับโทรศัพท์ประมาณ ๕ ครั้ง จากเลขา ที่ มสธ. ว่าทางกลุ่มเชียร์จะนำรถอีแต๋นมาที่ มสธ. ๓๐ – ๔๐ คัน เพื่อขอให้ ทปอ. สนับสนุนให้มีการเลือกตั้งในวันที่ ๒ เมย. ศ. ดร. ปรัชญา เป็นประธาน ทปอ. (ที่ประชุมอธิการบดี) ผู้ร่วมโต๊ะอาหารเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่โน่นที่นี่ โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ซึ่งเมื่อมีการไปชุมนุมเรียกร้องก็จะมีการกล่าวหาคนโน้นคนนี้ ลุกลามความขัดแย้งออกไปเรื่อยๆ มีคนบอกว่าที่ถนนสีลม ม็อบที่ออกมาขับไล่เป็นกลุ่มพนักงาน ซึ่งอยู่ทางต้นถนน ถัดจากอาคารธนาคารกรุงเทพออกมา แต่ทางปลายถนนไปต่อถนนเจริญกรุง เป็นร้านเพชรพลอย ตัวเจ้าของร้านไม่อยากให้เหตุการณ์ลุกลาม ไม่เห็นด้วยกับฝ่ายขับไล่ เกิดการแตกแยกขึ้นในภาคส่วนต่างๆ ของสังคม ทั่วประเทศ มีคนกล่าวว่าใครมาเป็นรัฐบาลต่อจากนี้ ก็จะปกครองบ้านเมืองยากมาก เพราะเกิดความแตกแยกรุนแรงทั่วไปหมด มีการพูดกันว่า กรรมการ กกต. ที่เหลืออยู่ ๔ คนน่าจะเป็นบุคคลที่ถุกบีบคั้นอย่างที่สุด ดูฝ่ายพันธมิตรฯ ก็อ่อนล้า ดูนายกก็หม่นหมอง
เมื่อวาน ดร. โคทม อารียา ในฐานะ ผอ. สถาบันสันติศึกษาของมหาวิทยาลัยมหิดล โทรศัพท์มาชวนไปร่วมอภิปราย ในวันที่ ๒๘ มีค. ว่ามหาวิทยาลัยควรทำอะไรบ้าง ในสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ บังเอิญผมติดนัดหมด จึงไปไม่ได้ ผมหวนกลับมาคิดว่าหากผมไปได้ ผมจะพูดอะไร ก็รู้สึกว่าไม่มีความรู้ความชำนาญที่จะไปพูดอะไร นอกจากไปบอกว่า มหาวิทยาลัยมีคุณค่าต่อสังคมอย่างยิ่งใน ๒ ประการ คือ (๑) เป็นองค์กรแห่งความจริง ตรงไหนที่ไม่รู้จริงก็เข้าไปหาทางทำให้รู้มากขึ้น จนถึงรู้ทั้งหมด หรือรู้จริง ในกรณีความขัดแย้งนี้ มหาวิทยาลัยสามารถเข้าไปทำวิจัย ทำความจริงให้แจ้ง ทำความมืดลับให้สว่างและเผยแพร่ให้รู้เห็นกันไปทั่วทั้งสังคม ทำสิ่งที่ซับซ้อนเข้าใจยาก ให้เข้าใจได้ง่าย และเข้าใจกันทั่วถึงทั้งแผ่นดิน (๒) เป็นองค์กรที่สามารถดำรงความเป็นกลางทางการเมืองได้ สามารถให้ข้อเท็จจริงที่ไม่เชียร์ใครหรือกล่าวร้ายใคร แต่เป็นข้อความจริงที่ตรวจสอบและพิสูจน์แล้ว เป็นความจริงที่นำเสนอในหลากหลายมุมมอง มหาวิทยาลัยจึงน่าจะดำรงความน่าเชื่อถือได้ดีที่สุดองค์กรหนึ่งในสังคม น่าจะเป็นหลักของสังคมได้ในภาวะที่คนเริ่มไม่ฟังกัน ไม่เชื่อใจกัน และแตกเป็นฝักเป็นฝ่าย เช่นนี้
วิจารณ์ พานิช
๒๒ มีค. ๔๙
ไม่มีความเห็น