ผมยอมรับในหลักการนะครับว่าเราเดินมาถึงทางสองแพร่งของคำว่างาน
ที่จะต้องเลือกว่า ทำงานเพื่อหาเงิน หรือทำงานเพื่อความสุข
แต่บนทางสองแพร่งนี้ ไม่ใช่ว่าทุกคนสามารถเลือกได้ตามใจที่ตัวเองปรารถนา
ภาระความรับผิดชอบต่างๆนานา ที่อยู่ข้างหลัง
จะเป็นตัวผลักดันให้เราต้องเลือก
บางครั้งอาจต้องลืมเสียด้วยซ้ำว่าตัวเราชอบอะไร
ระหว่างทางสองแพร่งที่ว่า ความมีอิสระในการเลือกต่างหากเป็นสิ่งที่แตกต่างกัน
บางคนที่มีความพร้อมในปัจจัยสี่แล้ว
ก็ถือว่ามีอิสระที่จะเลือกทางที่ตัวเองปรารถนา
ซึ่งก็ถือว่าเป็นโชคอันมหาศาลที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก
ในขณะที่คนส่วนใหญ่ อาจไม่มีความพร้อมที่จะต้องเลือก
แต่ถูกภาระรับผิดชอบบุคคลที่อยู่ข้างหลัง
บังคับให้ต้องเลือกการถูกพันธนาการด้วยงาน
สิ่งที่ตามมาของการเลือกทางเดินสายหลังนี้ต่างหากที่ผมมองว่ามีความแตกต่างระหว่างบุคคลครับ
การถูกพันธนาการด้วยงาน
มิใช่ข้อเสียหายเหมือนดังเช่นคุณ NidNoi กล่าวไว้
และเมื่อจำต้องเลือกทางสายนี้ การสร้างความสุขบนงานที่ตัวเองทำ
เป็นอีกทางหนึ่งที่ทำให้เรามีความสุขและเข้าถึงจุดศูนย์กลางของชีวิตตามที่อาจารย์กล่าวถึงได้
วิธีการที่ทำให้ตัวเองสนุกและมีความสุขกับงานมีอีกเป็นร้อยเป็นพันวิธี
ในความเห็นส่วนตัวของผม
ผมไม่คิดว่าบุคคลเหล่านี้เป็นผู้ถูกพันธนาการด้วยภาระแห่งงาน
เขาเหล่านั้นน่าจะเป็นผู้ที่หลุดพ้นจากโซ่ตรวนแห่งพันธนาการมาแล้ว
แม้อาจจะยังไม่ถึงพร้อมของการเข้าถึงจุดศูนย์กลางของแก่นแท้ชีวิตได้
ผู้ที่ไม่สามารถปรับความรู้สึกของตัวเองให้มีความชอบและรักงานที่ตัวเองทำต่างหากถึงจะเป็นผู้ที่ถูกพันธนาการอย่างแท้จริง
ตรวจสอบดูได้ง่ายๆ
ครับว่าคุณรักงานที่คุณเองทำอยู่หรือเปล่า ถ้าไม่โกหกตัวเองเสียก่อน
คืนนี้นอนหลับให้เต็มที่ พรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น
ลองถามตัวเองดูซิว่า อยากไปทำงานหรือเปล่า
ถ้าคุณตอบด้วยความกระตือรือร้นว่าอยากไปทำงาน
คุณก็น่าจะเข้าข่ายของผู้หลุดพ้นพันธนาการแห่งงานแล้ว
แต่ถ้าคุณตอบว่าขอนอนต่อดีกว่า
คำตอบของคุณก็น่าจะชัดเจนอยู่แล้วว่าคุณอยู่ในสถานะใด