สิ่งที่ผมเชื่อ เป็นความเชื่อส่วนตัวของผม “ตามวิธีการ ของการจัดการความรู้ สามารถสร้างคุณค่าให้แก่ทุกคนในองค์กรได้ ว่าไปแล้วทุกคนล้วนมีความภูมิใจในความสำเร็จจากการทำงานของตน การเล่า การบอกความภาคภูมิใจของตนเองสู่คนอื่นๆ เป็นสิ่งที่ต้องสร้างให้เป็นธรรมชาติ และคุณค่าร่วมขององค์กร โดยวิธีการนี้สามารถสร้าง SENSE ของความรับผิดชอบในการพัฒนางานร่วมกันได้”
ที่นี่เร่งให้การสนับสนุนไปที่สายงานสนับสนุน
เก็บความสำเร็จจากประสบการณ์ในการทำงานที่หน้างาน
(หาไม่ได้จากตำรา)
เผยแพร่สู่กลุ่มคนที่ทำงานในลักษณะเดียวกันเน้นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ที่มีอยู่ในบุคลากรของเราเต็มไปหมดในองค์กร
การจัดการความรู้ทำให้เป็นส่วนหนึ่งของงานประจำได้ ผมนำกิจกรรมที่มีอยู่แล้วในองค์กรของเรา เช่นกิจกรรมการประกันคุณภาพ
(QA) จัดเป็นกระบวนการ Internal Benchmarking
มีการค้นหาวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) มานำเสนอ
จัดให้มีการเยี่ยมชมแลกเปลี่ยน (Site Visit) ระหว่างกัน
เราตั้งชื่อว่า“Best Practice :
กระบวนการพัฒนาคุณภาพด้วยการจัดการความรู้” อีกเวที
คือจัดเวที "นำเสนอโครงการพัฒนางาน" ที่ประสบความสำเร็จในระดับคณะ
หน่วยงานมานำเสนอในระดับมหาวิทยาลัย จัดรางวัล มอบโล่ห์
ให้การยกย่องเป็นตัวอย่าง
เรียกว่าเราหยิบกิจกรรมที่มีอยู่แล้วเหล่านั้นนำมาจัดกระบวนการแลกเปลี่ยนในวงกว้างขึ้น
จัดให้มีผู้กระตุ้น ส่งเสริมบรรยากาศ (คุณอำนวย)
ให้ผู้ปฏิบัตินำเสนอความภาคภูมิใจของตนอย่างมีชีวิตชีวา
เกิดความภาคภูมิในในผลงานและพร้อมแลกเปลี่ยน ความรู้ฝังลึกของเขา
ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ เพิ่มเติมการจดบันทึก
ความรู้ที่ได้จากเวที นั้น ๆ อย่างเป็นระบบ (คุณลิขิต)
ขอชื่นชมที่อม.ให้ความสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรมเพราะก่อนหน้านี้ได้ทราบจากพี่ที่เข้าร่วมประชุม ปขมท.มาโดยตลอดตั้งแต่ครั้งที่ไปประชุมที่มอ.พอไปเชี่ยงใหม่ 2 ครั้ง ก็ได้รับทราบและการให้รางวัลทำให้เป็นแรงขับ พี่ที่เล่าให้ฟังด้วยความภาคภูมิใจและเป็นผู้มีความมั่นใจ ในการนำ KM มาพัฒนางานสายสนับสนุนของมอ.นอกจากจะพัฒนางานของหน่วยงานและยังได้แลกเปลี่ยนกับกลุ่มวิชาชีพเดียวกันกับเคลือข่ายและยังพัฒนาบุคลากรในด้านกระบวนการคิดในเชิงวิชาการอันนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นที่ยอมรับและน่าเชื่อถือ