ขอบพระคุณมากครับที่ท่านอาจารย์บัญชาได้ออกมาทักท้วง หลังจากที่ผมได้อ่าน ไอน์สไตน์พบ ฯ
ความจริงผมได้ติดตามหนังสือของ ทพ.สม มาอ่านหลายเล่ม รู้สึกชอบแนวการเขียน
เช่น เกิดเพราะกรรมหรือความซวย , ทวาร 6 ฯ , เดอะท็อปซีเคร็ต , เจาะตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช แม้กระทั่งฟิสิกส์นิวตัน และล่าสุด หนังสือชื่อตอบปัญหาชีวิต
เนื่องจากชอบอ่านหนังสือแนวธรรม แต่ยิ่งอ่านไปอ่านไป มีความรู้สึกว่า ทพ.สม ท่านยังมีความเข้าใจแก่นพุทธศาสนาคลาดเคลื่อนไป (ในความรู้สึกของผม ) แน่นอนมันไม่อาจอ้างทฤษฎีใด ๆ ขึ้นมาหักล้าง หรือพิสูจน์ เนื่องจากเป็นลักษณะนามธรรม แต่ผมก็มีบางอย่างที่อยากจะให้ตรวจสอบจากหลักฐานที่พออ้างอิงได้อยู่บ้างเช่นจากในพระไตรปิฎกเองหรือจากพระอาจารย์ที่เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง เช่นท่านพุทธทาส , พระพรหมคุณาภรณ์ (ปอ.ปยุตโต ) เป็นต้น
แต่ก่อนที่จะเข้าถึงหลักธรรมล้วน ๆ นั้นอยากจะย้อนกลับมาในส่วนที่ ว่า
2-B) “พระพุทธองค์ตรัสว่า “อัตตา (ตัวตน) ของคนเรานั้นไม่เคยมีอยู่จริง สรรพสิ่งในโลกเป็นเพียงสิ่งสัมพัทธ์ (อิทัปปัจยตา)” ไอน์สไตน์ยืนยันซ้ำพร้อมสูตรทางวิทยาศาสตร์ว่า “ยิ่งเรียนรู้ความลับของธรรมชาติ ยิ่งทำให้มนุษย์เราต้องถ่อมตนและสันโดษ สรรพสิ่งสัมพัทธ์กันไปหมด”....” (หน้า 162) :
คำว่าสัมพัทธ์ ที่ท่านอาจารย์ช่วยยกมา "สัมพัทธ์" = relative และ "สัมพัทธภาพ" =relativity สองคำนี้มีความหมายแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับคำว่า อิทัปปัจยตา ที่ ทพ.สม นำมาเปรียบเทียบกัน คำว่า อิทัปปัจยตา ท่านพระพรหมคุณาภรณ์ ได้ให้ความหมายภาษาอังกฤษว่า conditionality หมายถึงการที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกัน ๆ จึงเกิดมี หรือคำว่า ปฏิจจสมุปบาท = dependent origination ( อ้างอิง หนังสือพุทธธรรม ฉบับเดิม หน้าที่ 78)
ท่านอาจารย์พุทธทาส ได้เขียนไว้ในหนังสือ ชุด ธรรมโฆษณ์ : อิทัปปัจยตา (หน้าที่ 26) ว่า การที่จะเข้าใจความหมายของอิทัปปัจยตา อย่างลึกซึ้งทั่วถึง ต้องศึกษาความหมายของคำว่า ตถตา : ความเป็นอย่างนั้น อวิตถตา : ความไม่ผิดจากความเป็นอย่างนั้น อนัญถตา : ความไม่เป็นโดยประการอื่น ท่านยังย้ำว่าอิทัปปัจยตาคือหัวใจของพระพุทธศาสนาที่สุดแต่ก็ถูกมองข้ามเสีย
พระพรหมคุณาภรณ์ (ปอ.ปยุตโต ) ได้ให้ความหมายเป็นภาษาอังกฤษว่า ตถตา = objectivity , อวิตถตา = necessity และอีกคำหนึ่งครับที่น่าสนใจ อนัญญถตา = invariability คำนี้น่าจะตรงกับคำว่า ความไม่แปรเปลี่ยน invariance นะครับ
การที่การแปลความหมายของ สิ่งสัมพัทธ์ = อิทัปปัจยตา จึงเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องโดยประการทั้งปวง ดังนั้นการที่ท่าน ทพ.สม ท่านเข้าใจหลักอิทัปปัจยาที่คลาดเคลื่อนไปทำให้การอธิบายหลักธรรมในหนังสือหลายเล่มของท่านผิดเพี้ยนไปจากคำสอน รวมจนไปถึงการอธิบายกฎแห่งกรรม ในหนังสือหลาย ๆ เล่มที่ท่านเขียน
ผมจะยกตัวอย่างความเข้าใจผิดในหลักอิทัปปจยาแล้วนำมาสู่คำอธิบายหลักธรรมที่ผิดพลาด
จากหนังสือ ตอบปัญหาวิชาชีวิต (สิงหาคม 2551 ) หน้า 35 ท่านตอบคำถามว่า
“ ข้อสงสัยที่ว่า ถ้าไปทำร้ายพระอรหันต์จะมีเจ้ากรรมนายเวรหรือไม่ ” ทพ.สม ตอบว่า พระอรหันต์ท่านสกัดผัสสะได้ทันก่อนที่จะเกิดเป็นเวทนา กิเลส ตัณหา อุปาทาน ดังนั้นแน่นอนว่า พระอรหันต์ไม่มีความรู้สึกทางลบจากการถูกระทำ ”
ผมไม่แน่ใจว่าท่านผู้อ่านทั้งหลายเข้าใจนิยามของคำในหลักอิทัปปจยาตามากน้อยเพียงใด แต่ผู้ที่ศึกษาพุทธศาสนามาพอประมาณจะพึงเข้าใจได้ (หรือหากสนใจลองศึกษา พุทธธรรม ที่ผมยากมาเป็นอ้างอิงได้) แต่ก่อนที่ผมจะชี้ข้อผิดพลาดผมของยกพระสูตรจากพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค ใน มหาวรรคที่ ๗
๑. อัสสุตวตาสูตรที่ ๑ หน้าที่ ๑๐๔ - ๑๐๕
ซึ่งกล่าวถึงหลักอทัปปจยาตาปฏิจจสมุปบาทว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้สดับ ย่อมใส่ใจโดยแยบคาย
ด้วยดีถึงปฏิจจสมุปบาทธรรม ในร่างกายและจิตที่ตถาคตกล่าวมานั้นว่า เพราะเหตุ
ดังนี้ เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มี
สิ่งนี้จึงไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ คือ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะ
ตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพ
เป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทวทุกข-
*โทมนัสและอุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
อนึ่ง เพราะอวิชชาดับด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ
วิญญาณจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
นี้คือกระบวนการเกิดขึ้นของทุกข์ หากมีอวิชชาเป็นปัจจัย เรื่อยไปจนถึงชาติ ..ชรามรณ..เป็นปัจจัย ในขณะเดียวกันกระบวนการดับไปแห่งทุกข์คือ อวิชชาดับ วิญญาณจึงดับ .... เรื่อยไปจน ชาติ ชรา มรณดับ
ทุกข์ย่อมไม่เกิด กระบวนการนี้เรียกว่าสังสารวัฎ
ที่นี้มาถึงความเข้าใจผิดของ ทพ.สม คือว่า พระอรหันต์ท่านมีสติไวมากท่านจึงสกัดผัสสะได้ทัน นี่เป็นความเห็นผิดอย่างชัดเจนในหลักปฏิจจสมุปบาท ตามหลักที่ยกมาแล้ว พระอรหันต์ท่านดับได้ตั้งแต่อวิชชา (อวิชชาสำรอกโดยไม่เหลือ ) เมื่อไม่มีอวิชชา สังขารจึงดับ วิญญาณดับ ..... สฬายตนะดับ เมื่อเหตุปัจจัยดับ จะมีผัสสะที่ไหนมาให้สกัดได้ทันเล่า พระอรหันต์ท่านพ้นจากสังสารวัฎได้แล้ว แต่ ทพ.สม ยังจะดึงท่านเข้ามาในสังสารวัฏ ให้มีผัสสะได้อีก ความเข้าใจผิดเช่นนี้ทำให้การอธิบายหลักธรรมเพื่อให้เข้าถึงนิพพานของ ทพ.สม จึงยกมาเน้นย้ำอยู่เพียงการฝึกสติปัฎฐาน 4 ในหนังสือทุก ๆ เล่มที่ท่านเขียน (แน่นอนหนทางนี้เป็นหนทางเอก) แต่ทั้งที่จริงหนทางสู่นิพพานนั้นคือ อริยมรรคมีองค์ 8 ที่ต้องมีสัมมาทิฏฐิ ต้องมีความเห็นที่ถูกต้องก่อนแล้วการปฏิบัติจึงจะถูกทาง เมื่อเข้าผิดคลาดเคลื่อนเช่นนี้ การอธิบายหลักกรรม การอธิบายเรื่อง บาป บุญ จึงคลาดเคลื่อนไปด้วย
แน่นอนข้อเขียนของท่าน ทพ.สม มีเจตนาชักชวนให้ผู้คนได้มาสนใจหลักธรรม ซึ่งก็นับเป็นอานิสงส์อย่างยิ่ง แต่การเข้าถึงหลักธรรมที่คลาดเคลื่อนก็จากความเป็นจริง ก็อาจหาประโยชน์อันใดไม่ได้กับการเอาไปใช้ประโยชน์ในชีวิต
ผมคิดว่านอกจากจะตรวจสอบความถูกต้องทางด้านฟิสิกส์และยังจำเป็นต้องช่วยกันตรวจสอบหลักพุทธธรรมกันด้วยนะครับและหากจะแก้ไขต้นฉบับผมคิดว่าน่าจะวงเล็บไว้ก็ได้ว่าเป็นความเห็นของผู้เขียน มิฉะนั้นผู้อ่านจะเข้าใจว่าเป็นคำสอนของพระพุทธองค์
และสุดท้ายอย่าไปเสียดายเลยครับที่ไอน์สไตน์ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธหรือมาเรียนวิปัสสนากรรมฐาน (ไม่อย่างนั้นเราเหาะเหินเดินอากาศได้แล้ว) สิ่งที่น่าเสียดายกว่า ก็คือว่าพวกเราในฐานะชาวพุทธ แต่กลับไม่ค่อยสนใจศึกษา หรือ สิกขา จนได้ประโยชน์จากพุทธธรรม ต้องรอให้มีฝรั่งมังค่ามายืนยันเสียก่อนเราถึงจะเชื่อ ทั้งที่สัจจธรรมนั้นอยู่กับเรานี่แล้ว ไม่ต้องไปรอให้ใครมายืนยัน อีก และหากไอน์สไตน์ จะนับถือศาสนาพุทธจนบรรลุอรหันต์ได้จิรง ผมเชื่อว่าสมการที่ไอน์สไตน์จะนำเสนอต่อชาวโลก จะต้องเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ว่า
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะ
ตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพ
เป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทวทุกข-
*โทมนัสและอุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้