ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด | |
มีความรู้มากแต่ไม่รู้จักใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์ |
|
|
มีผู้ปกครองจำนวนมากที่นิยมส่งลูกตัวเองไปเรียนพิเศษ หรือกวดวิชา ทั้งนี้เพราะมีความคิดว่าลูกตัวเองจะได้เก่งและสอบแข่งขันสู้เด็กคนอื่นได้ บางทีพ่อแม่ผู้ปกครองอาจจะลืมนึกถึงความรู้สึกของลูกว่าสุขหรือทุกข์อย่างไร
เด็กที่มีชีวิต เต็มไปด้วยการเรียนย่อมเกิดอาการเบื่อหน่ายธรรมดา และเห็นการอ่านหนังสือเป็นเรื่องที่ไม่สนุก และอาจส่งผลเสียให้เด็กล้า และไม่ชอบการเรียนยิ่งขึ้น
การเรียนของเด็กจะพัฒนาได้ดีขึ้น เราต้องฝึกฝนให้เด็กรู้จักการพึ่งพาตนเอง ทำอะไรได้ด้วยตนเอง ฝึกให้คิดเป็นโดยใช้เหตุผลประกอบ ถึงแม้ว่าในระยะแรกเด็กจะคิดเข้าข้างตนเองก็ตาม แต่เด็กจำเป็นต้องมีประสบการณ์หลายอย่างตามธรรมชาติ
ในการใช้ชีวิตประจำวัน เราต้องฝึกให้เด็กช่วยงานในบ้าน ฝึกความรับผิดชอบ พ่อแม่อาจฝึกให้เด็กทำไปทีละน้อย จากง่ายไปสู่ยาก เพื่อให้เด็กรู้สึกว่าตนทำได้และเกิดความภาคภูมิใจ เมื่อเด็กทำได้ เราก็กล่าวคำชื่นชม เพราะเด็กต้องการได้รับความชื่นชมจากพ่อแม่มากกว่าการแสดงอารมณ์ไม่พอใจ
นอกจากนี้ประสบการณ์ การเล่นของเด็ก การทัศนศึกษา การสังเกต ล้วนเป็นการเรียนรู้ ซึ่งมาจากความเป็นอยู่ในทุกๆ วัน มิใช่ได้มาจากการเรียนหนังสือในห้องและเรียนพิเศษเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ชีวิตของเด็กจะพัฒนาเติบโตได้อย่างสมบูรณ์ ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างรวมๆ กัน เด็กที่มีชีวิตเอาแต่เรียนย่อมขาดทักษะในการดำเนินชีวิตหลายอย่าง เช่น พัฒนาทางด้านร่างกาย ทักษะการใช้ประสาทสัมผัส ทักษะทางด้านสังคม การปรับอารมณ์ มนุษยสัมพันธ์ การตัดสินใจและการแก้ปัญหา
เมื่อเด็กไม่มีโอกาสเป็นตัวของตัวเอง พ่อแม่คอยทำให้ทุกอย่างเพื่อให้เด็กทุ่มเทกับการเรียน เด็กขาดภูมิคุ้มกัน ไม่สามารถเผชิญและแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมากในการดำเนินชีวิต
พ่อแม่ผู้ปกครอง จึงไม่ควรถือผลการเรียนเป็นเรื่องใหญ่ มากกว่าการเอาใจใส่จิตใจของเด็ก ทั้งนี้เพื่อพัฒนาเด็กให้มีกำลังใจ เกิดความรัก และไว้วางใจพ่อแม่ เมื่อมีเรื่องใดที่ตัดสินใจไม่ได้ จะได้มีพ่อแม่เป็นที่ปรึกษา
ความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว เป็นพื้นฐานที่สำคัญ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความภูมิใจในตนเอง พึ่งตนเองได้ แม้เด็กไม่ได้เป็นคนที่เรียนดีมีความรู้มาก แต่กำลังใจจากครอบครัวจะเป็นแรงผลักดันสำคัญให้การดำเนินชีวิตก้าวหน้าและดีขึ้น
ความรู้เป็นสิ่งดี แต่ก็ไม่ได้เป็นดัชนีชี้วัดคุณภาพหรือความสำเร็จของชีวิต ดังคำกล่าวที่ว่า "ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด" ดังตัวอย่างนิทานต่อไปนี้ (ดัดแปลงจากนิทานของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา)
เด็กหนุ่มคนหนึ่งเป็นชาวเกาะ บ้านอยู่ในชนบทแห่งหนึ่ง พอเขากลับมาเมืองไทย จึงได้กลับไปเยี่ยมบ้าน. ชายหนุ่มไปพบชายแจวเรือจ้าง ชื่อลุงป้อม ให้ช่วยพาข้ามฟาก ชายหนุ่ม "เรือที่ใช้เครื่องยนต์...ไม่มีหรือลุง?" ชายหนุ่ม "โอ้.. มันล้าสมัยมากเลยนะลุง..โบราณ..มาก ในขณะที่ลุงแจวเรือ... ชายหนุ่ม "ผมว่าเมืองไทย...เมื่อเทียบกับประเทศที่ผมไปเรียนแล้ว..ล้าสมัยมาก ไม่รู้คนไทยอยู่กันได้ยังไง ทำไมไม่พัฒนา ตามเขาให้ทัน... ลุงใช้คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ตเป็นไหม?" ลุงป้อม "ลุงไม่รู้จักหรอก ไอคอมพิวต้ง คอมพิวเตอร์อะไรนี่...ใช้ไม่เป็นครับ.." ชายหนุ่ม "โอ้โฮ...ลุงไม่รู้เรื่องนี้น่ะชีวิตของลุงน่ะหายไปแล้ว 25 %...เอ้อแล้วลุงรู้ไหมว่าเศรษฐกิจของโลกตอนนี้เป็นยังไง ทำไมราคาน้ำมัน มันขึ้นเอา ขึ้นเอา...แทบทุกวัน?" ลุงป้อม "โอ้ เรื่องนี้ลุงก็ไม่รู้หรอก.." ชายหนุ่ม "ลุง ลุง..กลับมาเรื่องข้าวไทยบ้าง ลุงรู้ไหมว่าทำไมราคาข้าวในตลาดโลกถึงแพง?" ชายหนุ่ม "ถ้าลุงไม่รู้เรื่องนี้นะ...ชีวิตของลุงน่ะ หายไปแล้ว...75 %"
ลุงป้อม-คนแจวเรือ แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า "ดูเมฆดำนั่นซิพ่อหนุ่ม พายุคงจะมาในไม่ช้า" ลุงป้อม "นี่พ่อหนุ่ม..เรียนหนังสือมาก็เยอะ..จบดอกเตอร์มาจากต่างประเทศ ลุงบังอาจถามอะไรสักหน่อยได้ไหม...?" ลุงป้อม "พ่อหนุ่มว่ายน้ำเป็นไหม...?" ลุงป้อม "อะไรกัน คุณว่ายน้ำไม่เป็น.. คุณจบจากต่างประเทศ คุณรอบรู้ออกมากมาย แต่ทำไมไม่เรียนวิชาว่ายน้ำด้วยเล่า อีกประเดี๋ยวเถอะ คุณจะรู้ว่าชีวิตของคุณกำลังจะหายไป 100 % แล้วหละพ่อหนุ่ม" พายุพัดจัดขึ้น เรือลำน้อยถูกคลื่นและลมพัดโยนขึ้นๆลงๆ
|
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : บางครั้งคนเรามีความรู้ตั้งมากมาย แต่เมื่อเกิดสถานการณ์คับขันขึ้นมา ก็ไม่สามารถช่วยชีวิตตัวเองได้ อย่างที่โบราณเขาว่าไว้ "ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด" ดังนี้แล
อ้างอิง
มนุษย์ผึ้งมหัศจรรย์ |
ของแถมจาก http://www.watsomanas.com/board/viewtopic.php?t=13
อึ้มห์!! ที่หนูเรียนมานี่ไช้ไปถึง 10% รึยังหนอ 555555
สงสารคนสอนจัง ฮือๆ !_!
ขอบคุณ หนูแก้มแหม่ม ที่เข้ามา Post ข้อคิดเห็นครับ..อิอิ