เมื่อวันที่ ๓๐ - ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๔๘ ผมและทีมงานศูนย์สุขภาพชุมชนเขตเมืองโรงพยาบาลสระบุรี ได้มีโอกาสเป็นวิทยากรกระบวนการในการประชุมเชิงปฏิบัติการรวมพลังสร้างชุมชนเข้มแข็ง รุ่นที่ ๑ ของคปสอ.เมืองสระบุรี ปี ๒๕๔๘ ที่หาดสองแควรีสอร์ท อ.แก่งคอย จ.สระบุรี การประชุมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมประกอบด้วย อสม. และกรรมการชุมชนจาก ๔ ชุมชนในเขตเทศบาลเมืองได้แก่ ชุมชนเสือขบ ชุมชนเขาคูบา ๑ ชุมชนหลังบขส. และชุมชนแก่งขนุน ๑จำนวนทั้งสิ้น ๓๒ คน มีทีมงานจากคปสอ.เมืองเข้าร่วมสังเกตการณ์ รวมแล้วมี่ผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมเกือบ ๖๐ ชีวิต
วัตถุประสงค์ของการประชุมในครั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมของแกนนำชุมชนเพื่อให้สามารถรวมพลังความคิดในการพัฒนาชุมชนของตนเองสู่เป้าหมายชุมชนเข้มแข็ง/ชุมชนน่าอยู่ สร้างแผนงาน/โครงการในการพัฒนาชุมชนของตนเองได้ โดยวิทยากรกระบวนการทำหน้าที่ในการตั้งประเด็น แนะวิธีการร่วมคิด ร่วมทำงาน และช่วยสรุประเด็นให้กับผู้เข้าประชุม
ในวันแรกหลังจากเปิดประชุมและกิจกรรมสร้างความคุ้นเคยให้กับผู้เข้าร่วมประชุมแล้ว กิจกรรมแรกเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้เข้าประชุมถึงความสามารถในการร่วมคิดด้วยวิธีการระดมสมองและการสรุปความคิดโดยใช้แผนที่ความคิด โดยใช้ประเด็น "องค์ประกอบของเมืองน่าอยู่/ชมชนน่าอยู่" ในการฝึกระดมสมอง
กิจกรรมที่ ๒ เป็นการสำรวจควมเป็นจริงในอดีตของชุมชน โดยการระดมสมองหาสิ่งที่ภาคภูมิใจและเสียใจในอดีต เพื่อเก็บไว้เป็นบทเรียนในการพัฒนาต่อไป
กิจกรรมที่ ๓ เป็นการสร้างภาพฝันของชุมชนร่วมกัน โดยการระดมสมองด้วยภาพฉีกปะ และนำภาพฝันของทั้ง ๔ ชุมชนมารวมกันด้วยแผนที่ความคิด เป็นวิสัยทัศน์ร่วมกันของภาคี ๔ ชุมชน
กิจกรรมที่ ๔ เป็นการค้นหาความจริงในปัจจุบันของชุมชน ใช้ข้อมูลที่ได้ช่วยกันรวบรวมมาก่อนเข้าประชุมมาวิเคราะห์หาปัญหา สาเหตุของปัญหา และแนวทางแก้ไขปัญหาของชุมชนในปัจจุบัน ก่อนจบวันแรกได้ฝากการบ้านให้ทุกชุมชนเตรียมละครใบ้นำเสนอปัญหา สาเหตุของปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาที่ร่วมกันคิดไว้ชุมชนละ ๑ เรื่อง
ในวันที่สองหลังจากแสดงละครเพื่อเสนอปัญหาแล้วเป็น กิจกรรมที่ ๕ คือการร่วมกันสำรวจ วิเคราะห์และทำแผนที่ข้อมูลทุนทางสังคมที่มีอยู่ในชุมชน เพื่อให้ทุกคนมองเห็นศักยภาพที่อาจจะนำมาใช้ในกระบวนการพัฒนาชุมชนสู่เป้าหมายต่อไป
กิจกรรมที่ ๖ เป็นการนำวิสัยทัศน์ร่วมมาทบทวนและแบ่งประเด็นออกเป็น ๔ ฐาน ให้ช่วยกันคิดว่าจะใช้อะไรเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จในแต่ละประเด็นของวิสัยทัศน์นั้น หมุนเวียนสลับฐานกันเพื่อต่อยอดหาตัววัดให้มากที่สุด
กิจกรรมที่ ๗ ใช้วิธีการหมุนฐานแบบเดียวกันเพื่อช่วยกันคิดว่าเพื่อจะให้ถึงวิสัยทัศน์ในแต่ละด้านจะมีกิจกรรมอะไรบ้าง เป็นกิจกรรมที่ชุมชนทำได้เอง หรือต้องร่วมกับหน่วยงาน องค์กรอื่น ๆ ดำเนินการ ทั้งนี้ให้สมาชิกใช้ข้อมูลความจริงในอดีต ปัญหาในปัจจุบัน และข้อมูลทุนทางสังคมที่ได้รวบรวมไว้ในกิจกรรมก่อน ๆ เป็นพื้นฐานในการคิดกิจกรรมพัฒนา จัดกลุ่มกิจกรรมที่ใกล้เคียงกันรวมเป็นโครงการต่าง ๆ ได้ ๑๗ โครงการ
กิจกรรมที่ ๘ เป็นการก่อตั้งสภาภาคีชุมชนโดยการเลือกตั้งประธาน และกรรมการต่าง ๆ ของภาคี แล้วให้ทุกคนสมัครเข้าร่วมเป็นทีมกรรมการของภาคีในด้านใดด้านหนึ่ง ทำให้กรรมการทุกคนจะมีทีมทำงานที่กระจายอยู่ในทุกชุมชน ประธานภาคีได้นำทีมตั้งชื่อภาคีว่า "กลุ่ม ๔ ชุมชนรวมพลัง" และร่วมกับสมาชิกเลือกโครงการที่ร่วมกันคิดไว้ มอบหมายให้ไปดำเนินการต่อ ชุมชนละ ๒ โครงการ โดยเลือกโครงการที่ชุมชนได้เอง ๑ โครงการ และโครงการที่ทำโดยชุมชนร่วมกับสาธารณสุข ๑ โครงการ ตามคำแนะนำของวิทยากร(เพราะต้องการให้เลือกโครงการที่ดำเนินการได้โดยเร็ว)
ก่อนปิดประชุมได้ทำพันธสัญญาร่วมกันว่า
๑.สมาชิกทุกคนจะมุ่งมั่นทำงานร่วมกันเพื่อวิสัยทัศน์ร่วมคือ "งามน้ำใจ ไร้มลพิษ เศรษฐกิจดี มีสธารณูปโภคครบ ไม่พบยาเสพติด ชีวิตแจ่มใส"
๒.สมาชิกจะกลับไปดำเนินกรทำแผนปฏิบัติการ(โดยการแนะนำของทีมพี่เลี้บง) และดำเนินการตามโครงการที่ได้รับมอบหมายทันที
๓.เมื่อกลับสู่ชุมชนสมาชิกจะพยายามเสาะหาแนวร่วมในการทำงานพัฒนาชุมชนต่อไปให้มากที่สุด
๔.จะมีการประชุมสมาชิกอีกครั้งใน ๑ เดือนข้างหน้า เพื่อติดตามผลการดำเนินงานตามโครงการที่รับมอบหมาย และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ซึ่งกันและกัน
๕.ในรอบต่อไปเราจะหาโอกาสจัดทำโครงการที่รับผิดชอบโดยสมาชิกจากทุกชุมชน และเสาะหาความร่วมมือจากหน่วยงานอื่น ๆ ต่อไป
เป็นเรื่องเล่าที่ครบเครื่องดีมากครับ ทั้งด้านที่มาที่ไป กระบวนการขั้นตอนต่างๆ เครื่องมือและแนวคิดที่นำมาใช้ แผนงานที่จะทำต่อ ความรู้สึกที่เกิดขึ้น การวิเคราะห์ขั้นตอนที่ยากในการทำงาน
ที่สำคัญที่สุดคือเป็นการแสดงให้เห็นบทบาทที่เป็นไปได้ในการทำงานชุมชนที่เข้าจริงๆ โดยโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ
ขอเรียนเชิญสมัครเข้าเป็นสมาชิกของชุมชน thaiha ด้วยครับ
1. บางครั้งการได้ทำอะไร "เพื่อชาติ" ด้วยความทุ่มเท ตั้งใจจริงก็หายเหนื่อยนะคะ ขอให้มีความสุขในการทำงานต่อไปค่ะ
2. ได้เคยเสนอแนะไปบ้างแล้วว่า น่าจะนำแนวคิดของผู้เชี่ยวชาญด้านชุมชนอย่างอ. ชนินทร์ เจริญกุล มาใช้นะคะ คือการพิจารณา "ภาพฝัน" หรือภาพที่พึงปราถนา มาท้าทายเพื่อไปให้ถึงจินตนาการ ไม่ถูกบล็อก ด้วยภาพปัจจุบัน และป้องกันReady made solution (การยึดติดกับแนวทางแก้ปัญหาแบบเดิมๆ)
3. จากนั้นจึงค่อยพิจารณา"ภาพจริงในปัจจุบัน " ซึ่งต้องอาศัยข้อมูลที่ถูกต้องสมบูรณ์ ครบถ้วน (ใครหา?) มิใช่เพียง"ความรู้สึก" ของชุมชน เท่านั้น ถ้าไม่มีควรให้การบ้านไปเก็บข้อมูลให้ครบแล้วนำเสนอร่วมกับข้อมูลของชุมชน
4. จากนั้นจึงจะพบ "ช่องว่าง" ระหว่าง "ภาพฝัน" และ "ภาพจริงในปัจจุบัน" ช่องว่างนั้นจึง คือ "ตัวปัญหา" ซึ่งตัวปัญหามิใช่มีแต่เพียง "ยอดภูเขาน้ำแข็ง"( clinical illness ) เท่านั้น แต่ต้องพิจารณาปัญหาทีี่เสี่ยงจะเกิดด้วย (sub manifestation ) โดยคำนึงถึง เสี่ยงต่อการเจ็บป่วย ตาย พิการ
5. ต้องให้เค้าคิดให้ได้ว่า คำว่า "ช่องว่าง" หรือ "ตัวปัญหา" ดังกล่าว เราเอาอะไรเป็นไม้บรรทัด จึงจะรู้ว่ามีความห่างจริงและห่างเท่าไร เช่น "ชุมชนนี้ปราศจากคนที่มีภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวาน" จะวัดอย่างไร "ชุมชนนี้ปราศจากลูกน้ำยุงลาย" วัดอย่างไร?
6.แผนงาน/โครงการที่จะแก้ปัญหา ส่วนที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากองค์กรอื่นๆ น่าจะรวมเป็นระดับอำเภอเมือง ก่อนเพราะเป็นไปได้ยากที่เค้าจะมาร่วมคิดกับเราได้ทุกครั้ง มิเช่นนั้นจะเป็นร่วมเป็นส่วนๆเท่านั้นไม่ได้ ครบทุกปัญหาที่เราร่วมคิด (เกือบตาย)
7. การขยายผล น่าจะให้จนท. ประจำสอ./พยาบาลประจำโซน นำไปทำ ร่วมกับชุมชนที่ตนรับผิดชอบนะคะ น่าจะมีประสิทธิผลกว่าให้แกนนำ/อสม. ทำเอง เพราะเค้าจะเอาข้อมูล เช่น การขาดนัด วันนอนโรงพยาบาลซ้ำ มาจากไหน ฯลฯ เค้าจะใช้อะไรเป็นตัวชี้วัด และ ที่สำคัญที่สุด การ set piority ระหว่างพยาบาลประจำโซน/จนท.สอ. ร่วมกับแกนนำ อสม. และชาวบ้าน กับการให้อสม./แกนนำ ทำักันเอง อะไร มีประสิทธิผลกว่ากัน (ฝากให้คิดนะคะ)
8. ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการทำงานนะคะ ยังรักเหมือนเดิม เอาใจช่วยค่ะ
กัน