อคติ เพราะ(รัก)เพื่อน...(รัก)


เป็นการอคติที่น่าชื่นชม เพราะอคติที่รักเพื่อน อคติเพราะเพื่อนรัก ด้วยใจจริง ผมชื่นชมเพราะผมก็รักเพื่อน...แต่...

     ผมอาจจะเป็นคนที่ไม่คดในข้องอในกระดูก แต่ก็ไม่ใช่งอบ้างไม่เป็น (เน้นว่าตามการรับรู้แห่งตนเอง) อ่อนเสียด้วยซ้ำ ด้วยเฉพาะกับคนที่อ่อนเข้ามา แต่หากเมื่อใดที่รับรู้ได้ว่าแข็งมา ทันทีทันใด ก็จะแข็งขึ้นสู้ด้วยในทันที นี่เป็นข้อเสียที่รับรู้ตัวตนเองดีเช่นกัน แต่จะด้วยจิตไมตรี ซึ่งอาจจะมีบ้างเป็นส่วนดีที่เหลืออยู่แม้จะถูกมองว่าน้อยนิด หรือมองผ่านข้ามไปเสีย

     ผมตามอ่านบันทึกพบว่าหลาย ๆ บันทึกและหลาย ๆ ความคิดเห็นในช่วง 2 วันมานี้ (9 – 10 มี.ค.49) สะท้อนอะไรบางอย่างออกมามากมาย ลึก ๆ รับรู้ได้โดยความรู้สึก (deep sense) ว่า...มีคนเชื่อเรื่องการเคารพในความรู้ ภูมิปัญญา เกียรติ และศักดิ์ศรีของคน หลาย ๆ ท่านเชื่อมั่นว่าชาวบ้านฉลาด คิดเก่ง คิดเองเป็น และมีศักดิ์ศรีในตัวเอง นี่เป็นปิติอย่างมากสำหรับผม เพราะแม่ผมก็จบ ป.4 แต่ผมภูมิใจท่านมาก รวมถึงภูมิใจในชาวบ้านอีกหลาย ๆ ท่านที่ผมรู้จัก ได้สัมผัส โดยเฉพาะชาวบ้านในโครงการ “ไตรภาคีร่วมพัฒนาสุขภาพชุมชน” ตลอดเวลาที่ผ่านมาชาวบ้านในชุมชนต่าง ๆ เหล่านี้ เมื่อเขาเป็นอิสระ หลุดกรอบ จากการให้โอกาส สร้างบรรยาศที่เอื้อ ความฉลาดของเขาจะพรั่งพรูออกมาชนิดที่นำมาเล่าไม่ทัน ขณะนี้โครงการฯ กำลังเข้าสู่ระยะที่ 2 และกำลังจะสะท้อนความเชื่อที่ผมเชื่อ และหลาย ๆ คนก็เชื่อ...ออกมา (ติดตามต่อ ๆ ไป...)

     ในหลาย ๆ บันทึกที่ผมได้อ่าน โดยเฉพาะในส่วนของความคิดเห็น ก็มีบ้างเช่นกัน ที่แสดงความอคติ (ตามฐานคิดที่เราทีม “น้ำ” ได้สรุปตรงกัน) เป็นการอคติที่น่าชื่นชม เพราะอคติที่รักเพื่อน อคติเพราะเพื่อนรัก ด้วยใจจริง ผมชื่นชมเพราะผมก็รักเพื่อน ผมก็อคติหรือโอนเอียงให้เพื่อนเสมอ หากเป็นไปได้ และคนอื่นไม่เดือดร้อนเพราะการโอนเอียงของผม หมายถึงผมยอมขาดหรือเสีย เสียเองจะไม่เป็นไร (ไม่ต้องเชื่อครับ...เพราะเป็นเพียงเรื่องเล่า) แต่สิ่งหนึ่งที่ผมไม่เคยยอมและไม่ยอมคือการอคติทางวิชาการไม่ว่าเพราะเพื่อน หรือ เพราะหัวหน้าของผม หรือญาติของผม ทีนี้การอคติโดยไม่ตั้งใจก็พอรับได้ แต่หากตั้งใจด้วยแล้ว จะยิ่งไม่หน้านับถือ โดยเฉพาะหากได้ชื่อว่าเป็นผู้มีคุณวุฒิใน “ระบบการศึกษา” ที่สังคมให้กรอบหลักเพื่อคิดว่าเป็นผู้รู้ เป็นผู้น่าเคารพ และน่าเชื่อถือ ช่างน่าเสียดาย เสียดายเป็นต้นแบบหรือแม่พิมพ์ให้กับคนอื่น เมื่อต้นแบบหรือแม่พิมพ์ (เบ้า) บิดเบี้ยว สิ่งที่พิมพ์ออกมาก็คาดหวังได้ยากว่าจะไม่บิดเบี้ยว ยกเว้นสิ่งที่พิมพ์นั้นผ่าเหล่าผ่ากอ

     ที่เขียนบันทึกนี้ไม่เจตนาให้ใครตีความเป็นอย่างใดที่เป็นเชิงลบ ด้วยสัตย์จริง เพียงแต่อยากนำเสนอว่าชาวบ้านที่ผมเอ่ยถึงนั้น... เมื่อเขาเป็นอิสระ หลุดกรอบจากการให้โอกาส หรือได้สร้างบรรยาศที่เอื้อให้แล้ว ความฉลาดของเขาจะพรั่งพรูออกมา โดยปราศจาอคติใด ๆ อย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งผมคิดว่า (เน้นว่าผมคิด) น่าจะเกิดจากเขาไม่มีสิ่งปรุงแต่งเช่น ระดับซีอะไร จบอะไรมา ระดับใด สาขาไหน หรือตอนนี้อยู่ในตำแหน่งอะไร ทั้ง ๆ ที่เขาก็มีเพื่อนเยอะเช่นกัน สิ่งเหล่านี้ครับที่ทำให้เขาเป็นอิสระ และฉลาด โดยปราศจากอคติทางวิชาการ (แบบชาวบ้าน) ด้วย ในปัจจุบันจึงเชื่อชาวบ้านมากว่า...ว่าบริสุทธิ์ครับ บริสุทธิ์ทางวิชาการที่แท้จริง และที่สำคัญเป็นวิชาการจากการลงมือปฏิบัติ ผ่านการทดสอบแล้วด้วย ทดสอบด้วยชีวิตของเขามาแล้วจริง ๆ ครับ (ยิ้ม...ยิ้ม)

หมายเลขบันทึก: 18461เขียนเมื่อ 10 มีนาคม 2006 21:04 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มีนาคม 2015 08:31 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)
ค่ะ..จดจ้องอยู่เป็นนานสองนานต่อบันทึกนี้.."อคติ.." คือสิ่งที่มนุษย์เราเกิดขึ้นบ่อย..ครั้ง..แต่หากมองอะไร..ที่เป็นบวก.."อคตินั้น.."..ก็น่าจะดีหากไม่เกิดผลเสียหรือทำร้ายใคร..ทั้ง "กาย วาจา และใจ"..ขอเน้นที่ "ใจ"..นะคะ...เพราะทุกวันนี้เรามักจ้อง..มองกันที่ "ใจ"...ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม..ขอแค่มีเจตนาที่ดีงาม..อันบริสุทธิ์ใจจริง...จะเงื่อนไขอื่นใดมากมายสักเพียงใด...ก็คงไม่สำคัญ..

อคติไม่ดีทั้งนั้นแหล่ะ

ไม่ว่าเพราะรักไม่รัก

ในเชิงวิชาการถือว่า ไม่รักกันจริงหรอกพวกที่ เฮไหน เออ ด้วย ทั้งๆที่ก็รู้ว่า ก็ไม่ค่อยถูกเท่าไหร่

กับการที่หัวปักหัวปำ อยู่กับคำ อย่างหลงติดกับคำว่า นักวิชาการ ชาวบ้าน ตาสีตาสา ก็ไม่ดีเท่าไหร่นักในแง่ความเสมอเภาคทางสังคม เพราะมันเป็นการแบ่งแยกเชิงอำนาจอยู่

เมื่อยังมองคนที่ฐานะ ก็คือยังลุ่มหลงกับการใช้อำนาจ

คนเรียกตัวเองสูงส่ง หรือเรียกตัวเองต่ำต้อย ก็ยังถือว่ายังไม่หลุด ยังไม่อิสระแม้กับตัวเอง

ถ้าถือว่าแรงไป รับไม่ได้ หรือจะตอบโต้แรงกลับ ก็ตามสบาย เพราะระดับการรับของคนไม่เท่ากัน

ไม่ใช่คนอ่อนน้อม และถ้าให้เสนอความคิดในบล็อก แต่ต้องการแต่คนอ่อนน้อมเข้ามาต่อยอดความคิด ก็บอกด้วย คราวหน้าจะไม่ทำ

ก็เริ่มเบื่อความคับแคบของบล็อก gotoknow แล้วล่ะ

ก่อนที่จะมาขอ ลปรร.กับคุณ "ดอกหญ้า" และ "Dr.Ka-poom" ในภายหลัง (ขอไปตั้งหลักสักนิด) ก็จะขอตอบคุณ "ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม" เจ้าของ IP 202.28.XX.X ซึ่งใช้เครื่องจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศไทยนี้ ที่ได้ให้ คห.เข้ามา... ขอตอบว่า "ผมยังไม่หลุด" ตามที่บันทึกไว้อย่างรู้ตัวตน ของตนเอง แต่เรียกร้องให้ยอมรับกันเพราะยังไง "คน" ย่อม "ต่าง" และ อย่าลืมว่า "คน" ไมได้ฉลาดเพราะอยู่ในระบบการศึกษาอย่างเดียว เขามีการสร้างความรู้ได้เพราะเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยเฉพาะจากการปฏิบัติจนได้ข้อสรุป หาใช่เพียงอ่านแล้วเชื่อ...ตาม ๆ กันไป โดยไม่ได้ลองพิสูจน์อย่างแท้จริง, "อ่อนน้อม" เถอะครับ "จะดี" แต่อย่าได้ "อ่อนแอ" อย่างที่พยายามสื่อ "จะไม่ดี" (ยิ้ม...ยิ้ม), หากเบื่อก็เป็นเรื่องส่วนตัวครับ จะทำหรือไม่ทำอะไร ใช่ธุระ (ยิ่งยิ้ม...) อย่าขืนทำเพราะเบื่อ...เพราะจะยิ่งน่าเบื่อ...(ยิ่งยิ้มมาก...ขึ้น)--> จริง ๆ แล้ว ผมไม่ค่อยตอบ คห.คนที่ไม่จริงใจแม้แต่จะใส่ชื่อ แต่ คห.นี้ไม่น่าเบื่อ (ยิ้มสุด ๆ) จึงตอบครับ!==> สิ่งหนึ่งที่ผมเบื่อทำคือผมไม่ตอบ คห.ที่ไม่สุภาพ แน่ ๆ เพราะเบื่อไงครับ อันนี้แหละที่ผมไม่เขินทำเพราะเบื่อ...(ไม่ซีเรียสนะ...สบาย ๆ)
กลับมาแวะเวียนอีกครั้ง.. พบ คห. "คุณผู้ไม่ประสงค์ออกนาม"...ตอนนี้ชักไม่แน่ใจว่าเกิดCognitive Activate หรือ Attitude...นะคะ..แต่ที่แน่ๆ...ไม่น่าจะใช่อคตินะคะ (ยิ้ม)..เพราะรักและห่วงใย..ไม่อยากให้ใครในสังคมไหน.."ทำร้ายใคร..ทั้ง "กาย วาจา และใจ"...(โปรดย้อนไปที่ คห.แรกนะคะ)"...หากจะดีที่จะเป็นผู้ "กล้า"..ที่หลุดพ้น..ต้องไม่ยึดที่ตัวตน..ว่าตนเป็นใครหรืออะไร..จะเป็นอะไรก็ตามก็เป็นเพียงนามสมมติ..หากแค่เริ่มแรก...แม้เป็นเพียงแค่ซ่อนแอบ..ก็ไม่หลุดพ้น..แล้วค่ะ..แล้วจะหาญกล้าได้อย่างไรที่จะไปบอกใคร..ใคร..ว่า.."เขาไม่หลุดพ้น"..และเพียงแค่คิด...ที่ว่า"ก็เริ่มเบื่อความคับแคบของบล็อก gotoknow แล้วล่ะ"..ก็ติดบ่วงแล้วค่ะ..เพราะ Blog gotoknow.org ไม่แคบ..หากจะแคบก็แคบที่ใจคนคิด.เพราะเวทีแห่งนี้..เป็น "สื่อ" แห่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้..เพื่อสิ่งที่ดีงาม...ที่มีใน"ปัญญา"..ของความเป็น "มนุษย์"..ไม่ว่าจะเริ่มที่จุดไหน..มองคนว่าอย่างไร..แต่ ณ ตอนนี้ไม่สำคัญเพราะสิ่งที่ยิ่งกว่าคือ..คนที่มา...มี"ศรัทธา"...ที่อยากจะบอกเล่าเรื่องราว..ที่มีอยู่ในใจคิดที่ดีงาม..ด้วยความสุขใจ..(ยิ้ม)

ยิ้มๆ ก็เชือดใจ ถ้าเริ่มอ่านและคิดด้วยอคติทางลบ

ยิ้มๆ ก็ปริ่มเปรมใจ ที่ตีความเป็นอคติทางบวกของเพื่อนรักเพื่อน

cognitive activate ไม่ห้ามความรู้สึก

คนที่บอกจุดยืนคือคนที่จริงใจและซื่อสัตย์กับตัวเอง

การแยกแยะ attitude จาก cognitive ก็เหมือนสอนเด็กให้เรียนคณิตศาสตร์เพื่อไปทำเศรษฐศาสตร์โดยไม่แยกแยะจริยธรรม

ความจริงไม่ได้มีเพียงหนึ่ง

ความรู้ไม่มีสัมบูรณ์

ขอเพียงอย่าอคติยอกย้อนด้วยวาจา ก็พอจะพากันเรียนรู้ร่วมกันได้

บุคคลที่ใฝ่รู้อย่างแท้จริง ย่อมไม่อหังการ และย่อมยินดีสนทนากับบุรุษหรือสตรีไร้นามได้ด้วยใจเบิกบาน

เมื่อให้น้ำหนักที่ใจ ทำไมต้องสนใจชื่อนามและแหล่งที่มา

 

"...ยิ้มๆ ก็ปริ่มเปรมใจ ที่ตีความเป็นอคติทางบวกของเพื่อนรักเพื่อน cognitive activate คนที่บอกจุดยืนคือคนที่จริงใจและซื่อสัตย์กับตัวความจริงไม่ได้มีเพียงหนึ่งความรู้ไม่มีสัมบูรณ์เอง...พากันเรียนรู้ร่วมกันได้...บุคคลที่ใฝ่รู้อย่างแท้จริง ย่อมไม่อหังการ และย่อมยินดีสนทนากับบุรุษหรือสตรีไร้นามได้ด้วยใจเบิกบาน เมื่อให้น้ำหนักที่ใจ ทำไมต้องสนใจชื่อนามและแหล่งที่มา..." ดีใจค่ะที่เกิด..POSITIVE THINKING...สังคมแห่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้..จะสร้างสรรค์ยิ่งขึ้น...ขอแค่อย่าเพิ่งหนีหายไปไหนนะคะ (ยิ้มจริงๆ..อย่างจริงใจ..หาใช่ยิ้มอย่างเชือดเชือน..ค่ะ)
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท