ช่วงที่ทีม KM กรมส่งเสริมการเกษตรคิดว่าจะขยายผลการจัดการความรู้จาก 9 จังหวัดนำร่องเป็น 18 จังหวัดนำร่อง โดยให้จังหวัดนำร่องเดิมนั้นเลือกจังหวัดนำร่องใหม่แล้วจับกันเป็นคู่จังหวัดนำร่องปี 2549 ทีม KM ก็ยังไม่ลึกซึ้งกับคำว่า "เพื่อนช่วยเพื่อน" เท่าใดนัก แต่เมื่อได้ศึกษาเพิ่มเติมจึงเข้าใจมากยิ่งขึ้นว่าสิ่งที่ทีมคิดนั้นคือลักษณะ"เพื่อนช่วยเพื่อน" นั่นเอง
สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น สามารถสรุปได้ว่า"การทำ KM ไม่ทำไม่รู้" จริง ๆ เพราะสิ่งที่คิดได้มาจากประสบการณ์ที่ผ่านมาและการใช้ความคิดไตร่ตรองหาวิธีการที่ดีที่สุดภายใต้วัฒนธรรมในองค์กรของเรา จนได้แนวทางที่ตรงกับลักษณะ "เพื่อนช่วยเพื่อน" โดยบังเอิญ
เท่าที่ได้ศึกษาจากเอกสาร ตำราและผู้รู้แล้วรวบรวมได้ดังนี้
เพื่อนช่วยเพื่อน(Peer Assist) เป็นเครื่องมือในการจัดการความรู้ก่อนลงมือปฏิบัติ โดยให้มีทีมจากภายนอกเข้ามาช่วยโดยแบ่งปันประสบการณ์ และความรู้กับทีมเจ้าบ้าน โดยมีผู้เกี่ยวข้องดังนี้
1.ทีมแบ่งปัน เป็นเพื่อนที่ทำดีอย่แล้ว
2.ทีมเจ้าบ้าน เป็นผู้ขอเรียนรู้และต้องการจะปรับปรุงพัฒนา
วิธีการ
1.กำหนดประเด็นหรือเทคนิคที่ต้องการเรียนรู้ให้ชัดเจน เป็นความรู้จากการปฏิบัติ
2.กำหนดบุคคลมาร่วมทั้ง 2 ฝ่าย
3.ทำความเข้าใจเป้าหมายหลักร่วมกัน เตรียมตัวทั้ง 2 ฝ่าย
4.ทีมเจ้าบ้าน(ผู้ขอเรียนรู้)กำหนดคุณลิขิต
5.จัดให้มีคุณอำนวยที่เข้าใจเรื่องราว
6.เวลาที่ใช้ 4 ส่วนคือ
6.1ทีมเจ้าบ้าน(ผู้ขอเรียนรู้)บอกความต้องการและแผน
6.2ทีมแบ่งปันปรึกษาหารือ ให้ความเห็น แนวทางเลือกและวิธีปฏิบัติ
6.3ทีมเจ้าบ้าน(ผู้ขอเรียนรู้)วิเคราะห์ประเด็นสำคัญและแนวทางต่อไป
6.4ทีมแบ่งปันนำเสนอ feedback แก่ทีมเจ้าบ้าน(ผู้ขอเรียนรู้)
ประโยชน์ที่ได้รับ
1.เปิดมุมมองความคิดที่หลากหลาย
2.เป็นการเรียนลัดจากประสบการณ์จริง
3.รู้ก่อนทำจริง โอกาสผิดพลาดน้อยลง ประสิทธิผลทำงานมากขึ้น
4.เป็นการเชื่อมโยงเครือข่ายและได้เพื่อนร่วมอุดมการณ์
เท่าที่ประมวลได้มีเพียงเท่านี้ ขอเชิญชวนผู้รู้กรุณาเติมเต็มด้วยคะ จะขอบพระคุณเป็น
อย่างสูงเพื่อนำไปเผยแพร่และใช้ปฏิบัติจริงต่อไป
ส่งความรู้ให้ผมด้วย ก็คือ "เพื่อนช่วยเพื่อน" ขอบคุณครับ