บทสรุปปรากฏการณ์
มหกรรมการจัดการความรู้แห่งชาติ ครั้งที่ 2 (2)
(Executive Summary)
สรุปความรู้ในห้องภาคราชการ
เวทีเสวนาในห้องภาคราชการนั้นประกอบไปด้วยเนื้อหาหลัก 3 เรื่อง ได้แก่ 1) การใช้ KM ในการพัฒนาสู่ความเป็นเลิศ (best practice) มีการนำเสนอกรณีศึกษาสองกรณี ได้แก่ สำนักงานเกษตรจังหวัดกำแพงเพชร และโรงพยาบาลบ้านตาก 2) พลังเครือข่าย: การใช้ KM ของเครือข่ายราชการ มีการนำเสนอกรณีศึกษาของ เครือข่ายราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกับผู้เข้าร่วมประชุม และ 3) การสร้างตัวชี้วัดและการประเมินเพื่อการพัฒนา
การจัดการความรู้ของสำนักงานเกษตรจังหวัดกำแพงเพชร
สำนักงานเกษตรจังหวัดกำแพงเพชร มีภารกิจอยู่ 3 ประการ คือ 1)
พัฒนากระบวนการผลิตทางการเกษตรให้มีคุณภาพ และมาตรฐานความปลอดภัย 2)
ปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
และอนุรักษ์ทรัพยากร และ 3) พัฒนาเกษตรกร องค์กรเกษตรกร ในปี
พ.ศ.2548 เป็น 1 ใน 9 จังหวัดนำร่องที่นำกระบวนการ KM
เข้ามาใช้ในการทำกรณีศึกษากับพืชชนิดต่างๆ โดยมีจุดมุ่งหมายของการทำ
KM เพื่อพัฒนาการทำงานขององค์กรให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น
ในการดำเนินงานนั้น ถือได้ว่าสำนักฯ มีต้นทุนสูง คือ
มีทุนเดิมจากการทำงานในเรื่องขององค์การแห่งการเรียนรู้ (learning
organization) มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2542 ในการทำ KM
นั้นได้กำหนดโครงสร้างของระบบ คือ มีคุณเอื้อ (chief knowledge
office: CKO) ซึ่งได้แก่เกษตรจังหวัด เพราะเป็นผู้บริหารในหน่วยงาน
ส่วนคุณอำนวย และคุณลิขิต
คัดเลือกมาจากบุคลากรที่เคยปฏิบัติงานในเรื่องขององค์การแห่งการเรียนรู้เดิม
โดยมีแนวคิดให้เจ้าหน้าที่ และนักวิชาการเกษตรทุกคนเป็นคุณอำนวย
สุดท้ายคุณกิจ เป็นเกษตรกรซึ่งคัดเลือกมาจากพื้นที่
ขั้นตอนการจัดการความรู้จะเริ่มจากการดูภารกิจของกรมส่งเสริมการเกษตร
ภารกิจของสำนักงานเกษตรจังหวัด
และระบบการพัฒนาองค์การแห่งการเรียนรู้เดิม
นำมาประยุกต์ให้เข้ากับการพัฒนาด้วยการจัดการความรู้
เน้นการจัดโครงสร้างและวิธีการดำเนินงานใหม่ตามแบบของการจัดการความรู้
โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกส้มเขียวหวาน
ซึ่งได้กำหนดให้เป็นคุณกิจ โดยให้เกษตรกรร่วมคิด ร่วมวางแผนดำเนินงาน
ร่วมทำ ร่วมประเมิน และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเกษตรกรด้วยกัน
ให้ความสำคัญกับการสื่อสารระหว่างชาวบ้านและทีมงาน
นอกจากนี้ยังเน้นการทำงานเป็นทีมอย่างร่วมมือกัน (collaboration)
มีการดึงความรู้ฝังลึก ของเกษตรกรออกมาผ่านเทคนิคต่างๆ ได้แก่
การประชุม การสาธิต และการลงพื้นที่ปฏิบัติจริง มีการทำ AAR (after
action review)
เพื่อเรียนรู้หลังการปฏิบัติทุกครั้งและนำมาแก้ไขในระหว่างกลุ่มเกษตรกรด้วยกันเอง
โดยมีคุณอำนวยและคุณลิขิตที่เป็นบุคลากรทางการเกษตรของภาครัฐเป็นผู้สนับสนุน
ในเรื่องต่างๆ ทั้งการจัดกระบวนการเรียนรู้ การถอดบทเรียน
และการเขียนเอกสาร
นอกจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันเองแล้ว
ยังมีการเผยแพร่ความรู้แก่บุคคลทั่วไปในลักษณะของ เอกสาร และ Website
มีผลให้ เกิดการเรียนรู้ข้ามกลุ่มตามแนวนอน
คือกลุ่ม/องค์กรที่มีหน้าที่คล้ายคลึงกัน เช่น
หน่วยงานเกษตรด้วยกันที่จังหวัดสุพรรณบุรี และน่าน
ในลักษณะการศึกษาดูงาน หรือการมาขอคำปรึกษา
ผลการดำเนินงานที่เกิดประโยชน์กับเกษตรกรที่เห็นได้ชัด คือ
เกษตรกรรู้ปัญหา รู้จักโรค รู้จักแมลงชนิดต่างๆ
วิธีการกำจัดและควบคุมแมลง ทำให้สมาชิกมีแนวโน้มที่จะมีต้นทุนลดลง
และเนื่องจากเริ่มดำเนินการมาได้เพียง 1 ปี
ยังจำเป็นต้องติดตามต่อไปว่า กระบวนการ KM
ได้ยกระดับการเรียนรู้ไปสู่การเรียนรู้ที่สูงขึ้นได้อย่างไร
การจัดการความรู้ของโรงพยาบาลบ้านตาก
โรงพยาบาลบ้านตาก สังกัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาด 60
เตียง อยู่ที่อำเภอบ้านตาก จังหวัดตาก มีบุคลากร 155 คน
การจัดการความรู้ในโรงพยาบาล โดยเริ่มจาก
สคส.ได้ไปร่วมจัดการความรู้กับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ
โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร
ซึ่งขณะนั้นโรงพยาบาลได้ผ่านการรับรองมาตรฐานคุณภาพโรงพยาบาล
(Hospital Accreditation: HA) แล้ว
และได้รับหนังสือเชิญให้เข้าร่วมโครงการ
ซึ่งจากการพูดคุยร่วมกันในโรงพยาบาล จึงตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ
จุดมุ่งหมายของการนำ KM
เข้าสู่โรงพยาบาลก็เพื่อให้เสริมกับเป้าหมายของโรงพยาบาลที่จะอยู่ให้ได้ในอนาคต
โดยคิดว่าจะต้องพัฒนาองค์กรให้มีคุณภาพมากขึ้น ดีกว่า เร็วกว่า
และประหยัดกว่าคนอื่น นอกจากนั้น
ยังเป็นการสร้างโอกาสให้ตนเองในการเป็นผู้นำการพัฒนาคุณภาพในมิติของการจัดการความรู้
โดยในการดำเนินงานมีแรงผลักดันจากการแข่งขัน การเป็นผู้นำ
และการมีระบบคุณภาพที่มีอยู่เดิมของ ร.พ.เป็นต้นทุนการดำเนินงาน
กระบวนการในการทำการจัดการความรู้
มีองค์ประกอบเชิงโครงสร้างที่ประกอบด้วย คนสามกลุ่ม คือ คุณเอื้อ
ได้แก่ คณะกรรมการอำนวยการพัฒนาคุณภาพ (นำฝัน) คุณอำนวย ได้แก่
คณะกรรมการประสานงานและสนับสนุน (ทอฝัน) และคุณกิจ ได้แก่
คณะกรรมการดำเนินการพัฒนาคุณภาพ (สานฝัน)
ซึ่งเป็นคณะทำงานเดิมของการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลที่ได้พัฒนาในอดีต
ขั้นตอนการจัดการความรู้จะเริ่มจากการกำหนด knowledge vision (KV)
ของโรงพยาบาล ซึ่งจะนำไปสู่ทิศทาง กลยุทธ์
เป้าหมายที่คุณกิจจะต้องศึกษา และดำเนินการพัฒนางานต่อไป
โดยคุณกิจต้องพัฒนาโดยใช้การจัดการความรู้ให้บรรลุเป้าหมายของหน่วยงาน
ขององค์กร โดยให้ร่วมคิด ร่วมทำกันทุกคนในงานของตนเอง
งานและฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยมีคุณอำนวย
และคุณเอื้อคอยสนับสนุนในเรื่องวิชาการ
การสกัดความรู้จากความรู้ฝังลึก มาเป็นความรู้ชัดแจ้ง นั้น
จะมีการจดบันทึกขุมความรู้ตามประเด็นหรือปัญหาที่ได้กำหนดขึ้น
ทดลองปฏิบัติ
สกัดและเขียนออกมาเป็นความรู้ในลักษณะเอกสารร่วมกับภาพถ่าย
หลังจากนั้นจะต้องนำไปขึ้นทะเบียนความรู้ โดยจะถูกตรวจสอบก่อน
ถ้าไม่ดีหรือไม่ถูกต้องก็ต้องนำกลับไปแก้ไข
และมีการเปรียบเทียบผลการดำเนินการที่ได้กับเป้าหมายในหน่วยงาน
โรงพยาบาลอื่น และหน่วยงานอื่น
นอกจากความรู้สกัดออกมาจากผู้ปฏิบัติแล้ว
ยังมีการแสวงหาความรู้จากภายนอกด้วยเช่นกัน
โดยมีการวิเคราะห์ความรู้ที่ขาดไป และไปศึกษาดูงานจากโรงพยาบาลอื่น
เช่น เรื่องกำจัดขยะติดเชื้อ
และมีการจัดทำการจัดการความรู้นอกสถานที่ คือ ที่เชียงใหม่
เป็นต้น
การแลกเปลี่ยนเรียนรู้นั้น คุณอำนวยจะมีการจัดเวที หรือการสัมมนา
รวมทั้งการเผยแพร่ในระบบ intranet และ internet
โรงพยาบาลให้ความสำคัญกับการร่วมมือมาก โดยชูคนที่รับการพัฒนาให้เด่น
ให้มีผลงาน เพื่อดึงคนที่ไม่ร่วมพัฒนาให้เข้ามาพัฒนา นอกจากนั้น
ยังชูประเด็นเรื่องการอยู่รอดขององค์กร
ว่าให้ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน
ผลการดำเนินงานพบว่าทำให้เกิดประสิทธิภาพในการให้บริการ
ทำให้เกิดนวัตกรรมสร้างสรรค์ใหม่ๆ มากมาย
สร้างความตื่นตัวให้กับบุคลากรในเรื่องการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
และพัฒนาศักยภาพของบุคลากรไปพร้อมๆ กับการทำงาน
พลังเครือข่าย : การใช้ KM ของเครือข่ายราชการ จ.นครศรีธรรมราช
เป้าหมายของการนำการจัดการความรู้เข้ามาในการบริหารราชการของเครือข่ายราชการ
จังหวัดนครศรีธรรมราช ก็เพื่อแก้ไขปัญหาการบริหารการเงินของชุมชน
เพราะเดิมหน่วยราชการมีงบประมาณลงไปดำเนินงานในชุมชนในลักษณะต่างคนต่างทำ
ทำให้ชุมชนไม่มีเอกภาพ ซึ่งในการทำการจัดการความรู้ใช้ชื่อโครงการว่า
“การจัดการความรู้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการการเงินของชุมชน”
โดยดำเนินการนำร่องใน 3 ตำบล สำหรับจุดเปลี่ยนที่จังหวัดหันมาทำ KM
นั้น
มาจากทั้งตัวชาวบ้านเองสะท้อนถึงปัญหาการไม่ประสานงานของของหน่วยงานภาครัฐ
อีกทั้งเป็นด้วย วิสัยทัศน์ของจังหวัดนครศรีธรรมราช คือ
“เมืองแห่งการเรียนรู้ น่าอยู่ ยั่งยืน”
และได้ภาคีอย่างมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ซึ่งมีบทบาทในด้านวิชาการการจัดการความรู้เป็นส่วนสนับสนุน
กระบวนการในการทำการจัดการความรู้ มีการกำหนดโครงสร้าง คือ มีคุณเอื้อ
ซึ่งได้แก่ ผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้บริหารของแต่ละหน่วยงาน
ซึ่งประกอบไปด้วย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.)
กรมการพัฒนาชุมชน การศึกษานอก โรงเรียน ส่วนคุณอำนวย ได้แก่
เจ้าหน้าที่ในส่วนราชการที่จะเข้าไปทำงาน และคุณกิจ ได้แก่
กรรมการของกลุ่มการเงินที่เข้ามาร่วมกิจกรรมการจัดการความรู้
ขั้นตอนการดำเนินงานการจัดการความรู้
จะเริ่มจากวิสัยทัศน์ของจังหวัดนครศรีธรรมราช คือ
“เมืองแห่งการเรียนรู้ น่าอยู่ ยั่งยืน”
นำมาซึ่งโอกาสในการพัฒนาการจัดการความรู้
โดยเริ่มต้นจากปัญหาการจัดสรรงบประมาณของหน่วยราชการที่ต่างคนต่างทำ
และมีความหลากหลายในการบริหาร แต่ผู้นำชุมชนมีจำนวนจำกัด
ทำให้เกิดความสับสน และขาดเอกภาพในการดำเนินงาน
จึงจัดทำการจัดการความรู้ใน 3 ตำบลนำร่อง
โดยมีมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์เป็นครูของคุณอำนวย ซึ่งในการดำเนินงานนั้น
ผู้ที่มีบทบาทมากที่สุด คือ คุณอำนวย
เพราะจะมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในกลุ่มคุณอำนวย
โดยใช้รูปแบบการประชุม และการศึกษาดูงานบ้าง
และนำความรู้ที่ได้จากการไปศึกษาการทำงานกลุ่มของคุณกิจ มาสร้างเป็น
รูปแบบต่างๆ เก็บเป็นคลังความรู้ ส่วนคุณกิจจะกำหนดทิศทาง
เป้าหมายการพัฒนาของกลุ่มตนเอง
และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ต่างกลุ่มกันระหว่างกลุ่มเก่งกับกลุ่มไม่เก่ง
จุดเน้นของที่นี่คือการทำงานเป็นทีม
การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ที่เป็นการเผยแพร่ความรู้ของการดำเนินงาน
ใช้วิธีการพูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน เอกสาร รวมทั้งการดูงาน
ซึ่งเป็นการเรียนรู้แบบข้ามองค์กรที่บทบาทหน้าที่ต่างกัน
แต่มีเป้าหมายเดียวกัน คือ แก้ปัญหาการเงินในชุมชน
ในส่วนการเผยแพร่ความรู้ไปยังหน่วยงานอื่นนอกโครงการนั้นยังอยู่ในแผนงานที่จะขยายผลการดำเนินงานออกไป
การสร้างตัวชี้วัดและการประเมินเพื่อการพัฒนาองค์กร
การนำเอาเรื่องตัวชี้วัดและการประเมินมาใช้ในองค์กรที่มีการจัดการความรู้นั้น
ไม่ได้มีความแตกต่างจากเรื่องทั่วๆ ไป ของการวัดความสำเร็จขององค์กร
ยังคงตั้งอยู่บนความเชื่อเดียวกันว่า “ถ้าวัดไม่ได้จัดการไม่ได้
ถ้าจัดการไม่ได้ก็ปรับปรุงไม่ได้” และควรมีการสร้างตัวชี้วัดขึ้นตั้งแต่ก่อนดำเนินการ
อย่างไรก็ตามการสร้างตัวชี้วัดในกระบวนการจัดการความรู้นั้น
อาจต้องพิจารณาการวัดการประเมินให้ควบคู่ไปกับกระบวนการจัดการ คือ
ต้องมีตัวชี้วัดที่เป็น input (ความพอเพียงของทรัพยากร
คุณภาพของกิจกรรม ฯลฯ), process (การดำเนินการได้ตามแผน การมีส่วนร่วม
ความพึงพอใจในกิจกรรม ฯลฯ) และ output, outcome
ที่บางครั้งจำเป็นต้องพิจารณาทั้งความคุ้มค่าต่อการลงทุนทั้งเวลาและทรัพยากรอื่น
เพื่อที่จะได้นำผลการประเมินมาจัดการได้
โดยเฉพาะการจัดการความรู้มีลักษณะเป็นการทำไปปฏิบัติไปเรียนรู้ไป
ยิ่งต้องมีตัวชี้วัดมากำกับโดยตลอดเพื่อไม่ให้หลงทางไปจากเป้าหมายขององค์กร
นอกเหนือจากการสร้างตัวชี้วัดที่เป็นมาตรฐานสากลที่เน้นการวัดให้ได้ออกมาเป็นตัวเลขแล้ว
ผู้อภิปรายยังเน้นถึงตัวชี้วัดบางประเภทที่มีลักษณะ subjective
โดยเฉพาะในเรื่องการสกัดความรู้
ว่าตัวชี้วัดพวกนี้บางครั้งอาจต้องใช้เกณฑ์ที่เป็นเชิงคุณภาพ
ใช้ข้อมูลหลายๆ ทางมาประกอบ ก่อนที่จะ construct
ขึ้นมาเป็นตัวชี้วัดเชิงปริมาณหากทำได้ในบางกรณี
ประเด็นที่มีการอภิปรายกว้างขวาง
คือเรื่องการสร้างวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับการประเมิน
ไม่มองการประเมินเป็นอคติมากเกินไป
ให้ความสำคัญกับจรรยาบรรณในการรายงานผลการประเมินตามความเป็นจริง
โดยมีการเสนอให้ค่อยๆ ทำเป็น pilot project เพื่อสร้างความตื่นตัว
สนใจ และปรับทัศนคติขององค์กร พอทำไปนานๆ
จะทำให้เกิดความเคยชินเป็นวัฒนธรรมขององค์กร
ไม่รู้สึกว่าเป็นการเพิ่มภาระงาน
สรุปความรู้ใน ห้องภาคเอกชน
ในห้องเสวนาของภาคเอกชนนี้จะแบ่งเป็นสองหัวข้อใหญ่ โดยในวันที่ 1 ธันวาคม จะเป็นเรื่องของ KM ที่ตอบสนองต่อผลตอบแทนทางธุรกิจ ซึ่งมีตัวแทนจากบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มาร่วมแลกเปลี่ยน ในวันที่ 2 ธันวาคม จะเป็นหัวข้อ KM ที่เนียนอยู่ในเนื้องาน ซึ่งมีตัวแทนจากบริษัท สแปนชั่น ประเทศไทย จำกัด และบริษัท ซี.พี.เซเว่น อีเลฟเว่น จำกัด (มหาชน) มาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้
KM ที่ตอบสนองผลตอบแทนทางธุรกิจ: เล่าประสบการณ์การทำ KM ภาพใหญ่
จุดเริ่มต้นของการจัดการความรู้ให้เกิดขึ้นในองค์กรเพื่อที่จะเป็นความรู้องค์กรนั้น
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนิยามให้ชัดเจนว่า ความรู้คืออะไร
มิฉะนั้นก็ไม่สามารถจัดการได้อย่างถูกต้อง
โดยความรู้นั้นวิทยากรเห็นว่าต้องเป็นรูปธรรมมีความเป็นแบบแผน
(pattern) คือ เมื่อนำไปตามแล้วควรได้ผลใกล้เคียงกัน
และหลักการจัดการความรู้ ควรเน้น people, process และ platform
โดยในส่วนของ people นั้น จำเป็นต้องประกอบด้วย 3 ประเด็น คือ 1)
ความพร้อมที่จะพัฒนาตน (personal improvement)
ความพร้อมดังกล่าวถือเป็นบุคลิกภาพที่สำคัญในระดับบุคคล
และถือเป็นค่านิยมที่องค์กรจำเป็นต้องสร้างขึ้น 2)
การเป็นผู้มีความรับผิดชอบต่อความรู้ (knowledge responsibility)
รู้จักค้นหาและยินดีที่จะถ่ายทอดความรู้ดังกล่าวไปสู่ผู้อื่น และ 3)
การมีจิตแห่งการแก้ปัญหาหรือสำนึกต่อวัตถุประสงค์ (solution focus
mindset/ sense of purpose)
เป็นความผูกพันต่อเป้าหมายเพื่อจะได้มีแนวทางการปฏิบัติไปสู่การเรียนรู้เพื่อที่จะพัฒนาตนเอง
ในกระบวนการจัดการความรู้
ควรเริ่มจากคำถามว่าอะไรคือความรู้ที่ต้องการ
แล้วจึงไปนำความรู้มาทั้งจากในองค์กร หรือจากนอกองค์กร
เมื่อได้ความรู้จากการทำงานแล้ว ต้องมีการทดลองใช้ มีการจดบันทึก
และนำความรู้มาแลกเปลี่ยนหรือการแบ่งปันความรู้ (knowledge sharing)
ประเด็นนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องสร้างขึ้นให้ได้
ถือเป็นนวัตกรรมในองค์กร
ต้องทำอย่างต่อเนื่องจะเกิดความคุ้นชินและมีทักษะ
ดังนั้นองค์กรต้องปลูกฝังบรรทัดฐานใหม่ที่ให้คุณค่า
ความหมายกับการเรียนรู้ จะช่วยให้การยอมรับความรู้
ความรับผิดชอบในความรู้
ตลอดจนการแสวงหาความรู้และถ่ายทอดความรู้ในลักษณะกระบวนการเรียนรู้เกิดขึ้นในองค์กรอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
ไม่มีความเห็น