นวัตกรรมการเรียนรู้ เป็นรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่คุณครูทุกท่านควรที่จะให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ด้วยในสังคมปัจจุบันเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ นักเรียนมีบทบาทสำคัญในการเรียนรู้ครูผูสอนควรที่จะตระหนักและให้ความสำคัญในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆเพื่อให้การเรียนรู้ของนักเรียนมีความหมายมากยิ่งขึ้น ในครั้งนี้ขอเสนอนวัตกรรมด้านการเรียนที่สำคัญ 4 วิธีขอให้ลองพิจารณาเพื่อการนำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์แก่การเรียนการสอนของท่าน
1. วิธีการสอนแบบกลุ่มสัมพันธ์
กลุ่มสัมพันธ์เป็นกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันในสังคมที่ช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและ
ทัศนคติของผู้เรียนให้เป็นที่ยอมรับของบุคคลใน “กลุ่ม” ได้เป็นการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้ศึกษาเนื้อหาสาระ ด้วยวิธีการทำงานร่วมกัน ให้มีอิสระในการแสดงความรู้สึก ความคิด การตอบโต้ และการหาข้อยุติของเรื่อง แล้วสรุปเป็นผลงานและความต้องการที่กลุ่มของตนพอใจ (ก่องแก้ว เจริญอักษร 2533 : 1-2)
กรมวิชาการ (2539 : 67) ได้ให้ความหมาย กระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ หมายถึง กระบวน
การขั้นตอน วิธีการหรือพฤติกรรมต่างๆ ที่จะช่วยให้การดำเนินงานเป็นกลุ่มเป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพ คือ ได้ทั้งผลงานที่ดี และได้ทั้งความรู้สึก และความรู้สึกที่ดีระหว่างผู้ร่วมงาน
ทิศนา แขมมณี (2529 : 35-40) ให้แนวคิดว่า การทำงานเป็นกลุ่มหรือการทำงานเป็นทีม
หมายถึง การที่กลุ่มบุคคลเข้ามาร่วมกันปฏิบัติงานอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กลุ่มต้องการ การมาร่วมปฏบัติงานนี้เป็นไปอย่างราบรื่นและประสบผลสำเร็จหรือไม่เพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยและองค์ประกอบหลายประการในการทำงานร่วมกัน ซึ่งต้องประกอบด้วย
1. การมีเป้าหมายร่วมกัน กล่าวคือ ต้องมีวัตถุประสงค์ในการรวมกลุ่มว่าจะทำอะไรให้
เป็นผลสำเร็จ
2. การมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน คือ ต้องมีบทบาทหน้าที่ในการดำเนินงานของกลุ่ม
3. การติดต่อสื่อสารกันในกลุ่ม คือต้องมีการสื่อความหมายต่อกันและกันเพื่อช่วยให้เกิด
ความเข้าใจในการทำงานร่วมกัน
4. การร่วมมือประสานงานกันในกลุ่ม กล่าวคือต้องมีการประสานงานกันเพื่อให้งานของ
กลุ่มสำเร็จ
5. การมีผลประโยชน์ร่วมกัน กล่าวคือ ผลตอบแทนซึ่งกลุ่มจะได้รับจากการทำงาน
ร่วมกัน
กรมวิชาการ (2539 : 69) แบ่งกิจกรรมการเรียนการสอนแบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์
เป็น 4 ขั้น คือ
1. ขั้นนำ เป็นขั้นเตรียมความพร้อมให้นักเรียน อาจเป็นการทบทวนความรู้ สร้างบรรยากาศให้เหมาะสมต่อการเรียนรู้ที่จะตามมา
6. ขั้นกิจกรรม เป็นการให้นักเรียนลงมือทำกิจกรรมที่เตรียมไว้ เพื่อให้นักเรียนมี
ส่วนร่วมและรับผิดชอบในการเรียนของตน และเพื่อให้นักเรียนเกิดประสบการณ์ที่จะสามารถนำมาวิเคราะห์ อภิปรายให้เกิดการเรียนรู้
3. ขั้นอภิปราย ให้นักเรียนแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความรู้สึก และการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น
4. ขั้นสรุป และนำไปใช้เป็นขั้นของการรวบรวมความคิดเห็นและข้อมูลต่างๆ จนได้ข้อ
สรุปชัดเจน และเป็นขั้นกระตุ้นให้ผู้เรียนนำเอาการเรียนไปปฏิบัติ หรือใช้ในชีวิตประจำวัน
จากวิธีสอนดังกล่าว ก่องแก้ว เจริญอักษร ( 2533 : 2 ) ได้สรุปผลของการจัดการเรียนการ
สอนด้วยการใช้ “กลุ่มสัมพันธ์” คือ
1. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เกิดกับผู้เรียนส่วนใหญ่เป็นผลมาจากปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ระหว่างกันของบุคคลในห้องเรียน
2. พัฒนาการด้านการเรียนรู้เกิดขึ้น เนื่องจากผู้เรียนมีความพอใจขณะอยู่ร่วมกับกลุ่มเพื่อนในห้องเรียน
3. บรรยากาศในห้องเรียนอันเนื่องมาจากความสัมพันธ์ในกลุ่ม มีผลต่อการเรียนการสอนเป็นอย่างมาก
4. การจัดกลุ่มผู้เรียน หมายถึง การจัดคนเข้ากลุ่มมีส่วนทำให้กระบวนการเรียนรู้มีประสิทธิภาพหรือตรงข้ามกันได้
5. การให้เวลาและการอำนวยความสะดวกแก่กลุ่ม เป็นการช่วยให้กลุ่มทำงานได้ดียิ่งขึ้น
6. ครูสามารถใช้อิทธิพลของกลุ่มเปลี่ยนพฤติกรรม และทัศนคติของนักเรียนแต่ละบุคคลได้ด้วย
7. ครูสามารถอาศัยความเห็นของกลุ่ม มาใช้กับการเรียนการสอนที่มุ่งการแก้ปัญหาได้
ข้อดีของการจัดการเรียนการสอนโดยใช้กระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ คือ
1. ครูสามารถฝึกให้นักเรียนรู้จักวางแผนการทำงานก่อนลงมือทำงานร่วมกัน ทั้งยังฝึก
ให้รู้จักการแบ่งงานกันทำอย่างทั่วถึง การวางแผนการทำงานและรู้จักแบ่งงานกันทำเป็นกระบวนการทำงานที่จะช่วยให้ผลงานมีคุณภาพมากขึ้น และเป็นการช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้และฝึกฝนทักษะในการแสดงบทบาทหน้าที่ของผู้นำกลุ่มและสมาชิกกลุ่มที่ดี
2. การอภิปรายปัญหาในการทำงานกลุ่ม และแนวทางแก้ไขว่าควรจะทำอย่างไร หรือมีอะไรบ้าง เป็นสิ่งที่ช่วยฝึกให้นักเรียนรู้จักการวิเคราะห์ปัญหาของกลุ่ม เป็นทักษะที่สำคัญของการทำงานกลุ่มให้มีประสิทธิภาพ
2. วิธีสอนโดยการเรียนแบบร่วมมือ
การเรียนแบบร่วมมือ เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิธีหนึ่งที่เน้นการจัด สภาพแวดล้อมทางการเรียนให้แก่ผู้เรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่ละกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกที่มีความรู้ ความสามารถแตกต่างกันมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นการแบ่งปันทรัพยากรการเรียนรู้ รวมทั้งช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อให้กลุ่มได้รับความสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนด (หน่วยศึกษา นิเทศก์ กรมสามัญศึกษา 2540 : 40) การสอนวิธีนี้เป็นที่แพร่หลายในประเทศสหรัฐอเมริกา เนื่องจากมีผลงานวิจัยหลายร้อยเรื่องให้ข้อค้นพบว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือประสิทธิภาพในด้าน ผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้
การเรียนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคปริศนาความคิด (Jigsaw)
เป็นการส่งเสริมความร่วมมือและการถ่ายทอดความรู้ระหว่างเพื่อนในกลุ่ม เทคนิคนี้นิยมใช้ในรายวิชาที่ผู้เรียนต้องเรียนเนื้อหาวิชาจากตำราเรียน เช่น สังคมศึกษา ภาษาไทย
(วัฒนาพร ระงับทุกข์ 2541 : 40)
1. กำหนดเนื้อหา แบ่งเนื้อหาออกเป็นหัวข้อย่อยๆ ให้เท่ากับจำนวนสมาชิกกลุ่ม เช่น มีเนื้อหา 4 หัวข้อ ก็จะได้สมาชิกกลุ่มละ 4 คน เป็นต้น
2. แบ่งกลุ่มตามจำนวนหัวข้อที่ครูกำหนด ให้มีความสามารถคละกัน เรียกว่า “กลุ่มประจำ” แบ่งหน้าที่เป็น 3 กลุ่มย่อย คือ
- กลุ่มวิชาการ มอบหมายแต่ละคนศึกษาคนละ 1 หัวข้อ (แต่ละคนต้องรับผิดชอบที่กลุ่มมอบหมายและทำให้เสร็จสมบูรณ์ ถ้าไม่เข้าใจให้ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนในกลุ่ม “กลุ่มประจำ” และ “กลุ่มเชี่ยวชาญ” ก่อนที่จะถามครู)
- กลุ่มผู้สังเกต สังเกตการทำงานของสมาชิกในกลุ่ม ผู้ที่ได้รับมอบหมายหน้าที่นี้จะมีภาระ 2 อย่าง คือ
ก. ต้องศึกษา 1 หัวข้อ เหมือนสมาชิกคนอื่นๆ
ข. เป็นผู้สังเกตและบันทึก เมื่อสมาชิกเข้ากลุ่มเดิม “กลุ่มประจำ” จะต้องสังเกตการ
ทำงานของสมาชิกและจดบันทึก เพื่อประเมินผลการทำงานของกลุ่ม
ค. เข้ากลุ่มใหม่ ผู้เรียนที่รับหัวข้อเดียวกันจากแต่ละกลุ่มมานั่งด้วยกัน เพื่อศึกษาร่วมกัน
ในหัวข้อที่กำหนดเรียก “กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ” ทุกคนต้องทำความเข้าใจในหัวข้อที่ศึกษาเพื่อนำความรู้กลับไปสอนเพื่อนสมาชิกกลุ่มเดิม (กลุ่มประจำ)
4. เพื่อนสอนเพื่อน สมาชิกแต่ละคนออกจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญกลับกลุ่มเดิม นำความรู้ที่
ได้รับจากการเข้ากลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ผลัดกันอธิบายเพื่อถ่ายทอดความรู้ให้แก่เพื่อนสมาชิกกลุ่มเดิมจนครบทุกหัวข้อ
5. สรุป อาจดำเนินการดังนี้
- ครูทดสอบเนื้อหาเป็นรายบุคคลนำคะแนนที่ได้มาหาค่าเฉลี่ยเป็นคะแนนกลุ่มซึ่งสมาชิกจะได้คะแนนเท่ากัน
- สุ่มตัวแทนกลุ่มออกมารายงานหน้าชั้นและให้เพื่อนต่างกลุ่มแสดงความคิดเห็น
3. วิธีการสอนแบบการตั้งคำถาม
การตั้งคำถามเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้และการสอน ช่วยให้ผู้เรียนสร้างความรู้ความเข้าใจ และพัฒนาความรู้ใหม่ๆ กระบวนการตั้งคำถามและจะช่วยขยายทักษะการคิด ทำความเข้าใจให้กระจ่างเชื่อมโยงระหว่างความคิดต่างๆ ส่งเสริมความอยากรู้อยากเห็นและเกิดการท้าทาย (วัฒนาพร ระงับทุกข์ 2542 : 21)
1. ควรเริ่มต้นตั้งคำถามในระดับความจำ ความสนใจ ที่ผู้เรียนส่วนใหญ่ตอบได้ครูควรแสดงความชื่นชมทันทีด้วยคำพูดหรือใช้ภาษาท่าทาง ก่อนที่จะเริ่มคำถามในระดับที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น
2. เมื่อผู้เรียนประสบปัญหาความยากลำบาก ครูผู้สอนควรช่วยผู้เรียนให้ตอบได้โดยใช้วิธีการต่างๆ
- หยุดสักครูเพื่อให้นักเรียนได้มีเวลาคิดหาคำตอบ
- แนะนำคำตอบให้เล็กน้อย
- ทวนคำถามซ้ำ
- เปลี่ยนวิธีถามโดยใช้ถ้อยคำใหม่ที่เข้าใจง่ายขึ้น
- ตั้งคำถามเพิ่มเติม
- กระตุ้นให้ผู้เรียนตั้งสมมติฐานหรือทายคำตอบ
- ลดระดับคำถามที่อาจยากเกินไปลง
3. ถามให้ทั่วถึงทุกคน จะช่วยให้ผู้เรียนมีความตื่นตัวตลอดเวลา
4. เพิ่มระดับความยากของคำถาม
4. วิธีการสอนแบบใช้กระบวนการเผชิญสถานการณ์
การสอนแบบใช้กระบวนการเผชิญสถานการณ์ ผู้สอนได้นำวิธีสอน แนวคิด ประโยชน์
และขั้นตอนการสอน จากกรมวิชาการ ( 2540 : 13-18 ) มาใช้โดยปรับบางส่วนเพื่อความเหมาะสม ดังนี้
1. ความหมาย
กระบวนการเผชิญสถานการณ์ เป็นวิธีการสอนที่มีการเชื่อมโยงการกระทำกับการคิด
วิเคราะห์เข้าด้วยกัน โดยผู้เรียนได้เผชิญสถานการณ์ลักษณะต่างๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง ฝึกให้นักเรียนนำความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร มาสรุปประเด็นเพื่อประเมินว่าสิ่งใดถูกต้อง เกิดประโยชน์เพื่อนำมาใช้ในการตัดสินปัญหา กรมวิชาการ ( 2540 : 13 )
ขั้นตอนกระบวนการเผชิญสถานการณ์
1. การสร้างศรัทธา เป็นกิจกรรมที่สร้างความสนใจและความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้น โดยครูเสนอสิ่งเร้าที่เป็นประสบการณ์ของผู้เรียน ให้ผู้เรียนตระหนัก เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ วีดิทัศน์ รูปภาพ ตัวอย่างเหตุการณ์ เป็นต้น
2. ศึกษาสังคม เป็นการเสนอสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อนำไปสู่การฝึกทักษะการรวบรวม ข้อมูลข่าวสาร ความรู้และหลักการ กิจกรรมที่จัด เช่น ให้นักเรียนรวบรวมข่าวสารข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ อภิปรายข้อเท็จจริงที่ปรากฎในข่าว บอกสาระสำคัญของข่าว
3. ระดมเผชิญสถานการณ์ เป็นการนำข้อมูลข่าวสารที่ได้สรุปประเด็นมาประเมินค่าว่าประเด็นใดถูกต้อง ดีงาม เหมาะสม เกิดประโยชน์สูงสุดแท้จริง ประเด็นใดบกพร่องผิดพลาด ไม่ถูกไม่ควร หากนำมาใช้จะเกิดผลร้าย
4. วิจารณ์ความคิด เป็นการฝึกให้นักเรียนได้วิเคราะห์วิจารณ์ทางเลือกและตัดสินใจ โดยใช้กฎเกณฑ์ในการเลือกและตัดสินใจ ได้แก่
1. ปรับพฤติกรรม เป็นขั้นที่ต้องการให้นักเรียนนำเอาทางเลือกที่ตัดสินใจไว้แล้ว มา
เสนอเป็นแนวทางปฏิบัติหรือถ้าเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์จริงที่คล้ายกันจะได้นำเอามาใช้ โดยเน้นนักเรียนได้ยึดหลักทางสายกลาง การประสานประโยชน์ และสันติวิธี
6. สรุปและประเมิน ขั้นนี้ครูจะให้นักเรียนร่วมกันสรุปความรู้ แนวทางเลือกและตรวจสอบนักเรียนโดยวิธีการต่างๆ เช่น
- ให้ผู้เรียนประเมินตนเอง
- สอบถาม (ถาม-ตอบ)
- ใช้แบบทดสอบ
สวัสดีครับอาจารย์
สวัสดีครับ
แวะมาเยี่ยมครับ
ได้ความรู้ดีครับ
และขอเสนอว่าอยากได้ ตัวหนังสือใหญ่ขึ้นครับ จะได้อ่านสะดวกกว่านี้ครับ
ขอบคุณครับที่ได้เรียนรู้นวัตกรรมที่ดีครับ
ครูอ้อย มาอ่านรับความรู้ และ เป็นกำลังใจให้เสมอค่ะ
สวัสดีค่ะ พี่ปรีดา
ขอบคุณครับที่แวะไปหา ยินดีที่มีเรื่องดี ๆ แลกเปลี่ยนกัน
ดีใจมาก ได้พบพี่ปรีดาแล้ว แวะไปเยี่ยม หน่อยบ่อยๆ นะคะ "พี่ที่รัก"
สวัสดีค่ะ
คุณครูสุ คุณประจักษ์ คุณเพชรากร คุณครูอ้อย
คุณศิริพร น้องครูปู คุณไชยา และคุณน้องหน่อย
ขอบคุณนะคะที่มาเยี่ยมเยียนและให้ข้อคิดที่ดีๆ
แล้วจะปรับปรุงระบบการพิมพ์ให้ดีขึ้นค่ะ