วันก่อนได้รับจดหมายจากจินตนา
แล้วมีไฟล์แนบมาด้วยเป็นไฟล์เกี่ยวกับการเขียนร่างบทความวิชาการ
คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเราที่กำลังทำงานวิจัยและเขียนบทความวิชาการ
ก็เลยจดหมายไปขออนุญาตคุณ Paul Ketchmer
เจ้าของบทความซึ่งทำงานในบริษัทรับตรวจแก้ไขบทความวิชาการบนอินเตอร์เนต
ชื่อบริษัท San
Francisco Edit หลังจากได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ได้
ผมก็เลยแปลมาให้อ่านกัน ส่วนบทความต้นฉบับสามารถ load
ได้จากที่นี่ครับ
12
ขั้นตอนในการสรรค์สร้างร่างบทความวิชาการ
Twelve Steps to
Developing an Effective First Draft of your
Manuscript
บางคนอาจแนะนำว่าคุณควรเริ่มเขียนร่างบทความวิชาการจากบท introduction
แล้วเขียนต่อเนื่องไปตามลำดับทีละบทจนจบ
บางคนอาจแนะนำว่าคุณควรจะตั้งต้นเขียนบทที่ง่ายที่สุดก่อน
ซึ่งทั่วไปแล้วมักเป็นบท Methods และ Results
หลังจากนั้นจึงเขียนตามมาด้วยบท Discussion, Introduction, References
และชื่อเรื่อง (Title) ส่วนบทคัดย่อ (Abstract)
ค่อยเขียนเมื่อเขียนส่วนอื่นเสร็จหมดแล้ว
อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเริ่มต้นการเขียนไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์ข้อความลงในคอมพิวเตอร์หรือจรดปากกาลงบนกระดาษก็ตาม
- รวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้แน่ใจว่าคุณมีข้อมูลที่จะเขียนครบถ้วน เช่น ข้อมูลดิบ,
เอกสารอ้างอิง, ร่างตาราง และร่างรูปภาพต่างๆ
-
มุ่งเป้าว่าจะลงตีพิมพ์วารสารไหน
คุณลองคิดดูว่าคุณจะส่งบทความนี้ไปตีพิมพ์ในวารสารใดเพื่อที่จะได้เขียนบทความได้ตามรูปแบบที่วารสารนั้นต้องการ
ซึ่งรูปแบบที่จำเป็นต้องใช้อาจได้จากคำแนะนำในวารสารนั้นหรืออาจดูจากบทความต่างๆที่เคยตีพิมพ์ในวารสารนั้นมาก่อนก็ได้
-
เริ่มต้นการเขียน
เมื่อเริ่มต้นเขียนร่างครั้งแรก
เป้าหมายใหญ่ก็คือการได้เขียนอะไรลงไปบนกระดาษบ้าง
อย่าไปสนใจว่าประโยคที่คุณเขียนนั้นจะสมบูรณ์หรือไม่
การใช้แกรมมาร์จะถูกต้องหรือไม่
ขอให้เนื้อหาที่ต้องการเขียนไม่เพี้ยนไปจากที่คุณต้องการเป็นใช้ได้
เขียนเมื่อยังรู้สึกกระฉับกระเฉงไม่ใช่เริ่มเขียนเมื่อร่างกายอ่อนล้าเต็มที
พยายามหาช่วงเวลาหรือสถานที่ที่คุณคิดว่าว่าสามารถเขียนได้โดยไม่ถูกรบกวน
-
เขียนไปเรื่อยๆ
อย่าไปสนใจว่าคำจะถูกต้องหรือไม่
หรือใช้เครื่องหมายวรรคตอนถูกต้องหรือไม่ในขั้นตอนนี้
ขอเพียงแค่ลำดับความคิด แล้วเขียนมันออกมา
โดยอาจใช้ตัวย่อหรือข้ามศัพท์บางคำไปเมื่อคิดไม่ออก
-
เขียนโดยใช้ภาษาของตัวเอง
แต่ละคนจะมีรูปแบบการใช้ภาษาของตัวเองที่สามารถสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจได้ถูกต้องตามที่ต้องการ
ซึ่งการเขียนแบบนี้จะช่วยให้ผู้ที่มาแก้ไขภาษา
สามารถเข้าใจว่าคุณต้องการเขียนอะไร
-
เขียนโดยยังไม่ต้องกลับไปแก้ไข
อย่าพยายามเขียนให้ถูกต้องในครั้งแรก
ไม่เช่นนั้นแล้วคุณจะพบกับอุปสรรคในการเขียนและเสียเวลามาก
หากคุณพยายามเขียนและแก้ไขไปด้วยในเวลาเดียวกัน
คุณมักจะทำไม่ได้ดีทั้งสองอย่าง
-
เขียนตามโครงร่างที่ร่างไว้
โดยใช้หัวข้อตามโครงร่างที่เขียนไว้ว่าคุณมีประเด็นอะไรบ้างที่จะเขียน
ถ้าเขียนไปแล้วออกนอกประเด็น ก็ให้หยุด
แล้วข้ามไปเขียนประเด็นอื่นก่อน
-
เขียนโดยแยกเป็นส่วนๆ
ทำเหมือนว่าคุณเขียนเรื่องสั้นในแต่ละบท
โดยคิดถึงเป้าหมายหลักว่าแต่ละบทคุณต้องการสื่อสารอะไรลงไป
อย่าพยายามเขียนบทความทั้งหมดเป็นเรื่องเดียวกันในครั้งแรก
-
เขียนเสร็จก็ตั้งมันไว้สักพัก
เมื่อเขียนเสร็จแล้วให้ตั้งไว้อย่างน้อยหนึ่งวัน
การตั้งไว้ก่อนช่วยให้คุณกลายเป็นคนอื่นเมื่อต้องมาอ่านและแก้ไขบทความที่ตัวเองเขียน
-
ทบทวน
ลองนั่งอ่านและทบทวนหลายๆครั้งจนกระทั่งรู้สึกว่าเราไม่สามารถปรับปรุงให้มันดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ได้แล้ว
ในขั้นนี้เป็นการมองงานของคุณไม่ใช่จากมุมมองของนักเขียนแต่ให้ใช้มุมมองของนักวิจารณ์
ประโยคแต่ละประโยคสื่อสารได้ถูกต้องหรือไม่ ในบางประโยคที่ยาวๆ
ยังคงอยู่ในประเด็นที่ต้องต้องการสื่อสารหรือไม่
ในบางย่อหน้าที่ค่อนข้างยาวและกล่าวถึงเพียงประเด็นเดียว
สามารถทำให้สั้นลงโดยทำเป็นย่อหน้าใหม่ได้ไหม
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นคำถามที่คุณต้องถามตัวเองทั้งสิ้น
-
ทบทวนเพื่อความชัดเจนและทำให้กระชับ
ค่อยๆทบทวนไปทีละประโยคและทีละย่อหน้าโดยตั้งใจที่จะทำให้ชัดเจน
โดยปกติประโยคส่วนใหญ่ควรมีคำอยู่ประมาณ 15-20 คำ
สำหรับบทความทางวิทยาศาสตร์ในแต่ละย่อหน้าควรมีอยู่ประมาณ 150 คำ
และพยายามหลีกเลี่ยงการใช้คำที่ไม่จำเป็น
-
เขียนให้สอดคล้องกัน
บทความหลายๆบทอาจเป็นการเขียนร่วมกันมากกว่าหนึ่งคน
แต่ละคนก็จะมีรูปแบบการเขียนของตัวเอง
รูปแบบการเขียนต้องให้สอดคล้องกันทั้งบทความ
ดังนั้นเจ้าของบทความจะต้องอ่านบทความทั้งหมดและแก้ไขให้สอดคล้องกันก่อนที่จะส่งบทความไปยังวารสารที่ต้องการ