สรุปความรู้จากห้องประชาสังคม
เวทีเสวนาการจัดการความรู้ในห้องภาคประชาสังคมมีสาระสำคัญหลักมุ่งไปที่เรื่องการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ แต่แบ่งความนุ่มลึกในการพูดคุยเป็นสองระดับ โดยในวันที่ 1 ธันวาคม 2548 เป็นเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากการปฏิบัติของเกษตรกรและ “คุณอำนวย” ในจังหวัดพิจิตรและจังหวัดสุพรรณบุรี สำหรับวันที่ 2 ธันวาคม 2548 เป็นการเสวนาเรื่องการสร้างเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ โดยมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเกษตรกร เจ้าหน้าที่ของกรมส่งเสริมการเกษตร เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งบรรยากาศเต็มไปการเรียนรู้อย่างมีปฏิสัมพันธ์อย่างแท้จริง
การเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากการปฏิบัติ: การส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่จังหวัดพิจิตร
การนำเสนอความสำคัญและการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ของกลุ่มข้าวสะอาด
โดยคุณผดุง เครือบุษผา และคุณจรัญ ต้งฉิ่น
ทั้งสองท่านเล่าประสบการณ์ของคุณกิจที่สามารถยกระดับเป็นคุณอำนวย
เริ่มจากการเปลี่ยนวิธีคิดในการทำนา ที่เห็นทุกข์ว่า ทำนาจำนวนมาก
แต่รายได้ต่ำ เพราะมีต้นทุนสูง ดินเสื่อม
ประสบกับวิกฤตปัญหาหนี้สิน
ถึงทางตันจึงเป็นแรงบันดาลใจให้หาทางออกในการทำการเกษตร
ประกอบกับถูกชักชวนจากสมาชิก วปอ. เข้าร่วมการอบรม วปอ.
(วิทยากรการเปลี่ยนแปลงสู่การพึ่งตนเองและการพึ่งพากันเอง)
ในช่วงที่เป็นคุณกิจนั้น หลังจากที่อบรมจาก
วปอ.มาแล้วก็ไปแสวงหาความรู้จากภายนอก มีการดูงานที่มูลนิธิข้าวขวัญ
และที่ต่างๆ
รวมทั้งจากการเรียนรู้ความรู้ที่มีอยู่ในปราชญ์ชาวบ้านในพื้นที่
คิดใคร่ครวญจนเกิดปัญญา แล้วนำมาพัฒนากับตัวเอง คือทดลองใช้จริง
โดยไม่ใช้สารเคมีเลย มีการสังเกตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
และจดบันทึกอย่างสม่ำเสมอ (ทั้งสองท่านสามารถอธิบายตัวเลขต่างๆ
ที่เคยจดบันทึกไว้ได้เป็นอย่างดี)
ทำให้ความรู้นี้สามารถตรวจสอบได้จริง และเปรียบเทียบกันได้
การทำเช่นนี้เป็นการดึงความรู้ฝังลึกออกมา
จากนั้นก็มีการแบ่งปันความรู้ การเชื่อมโยงกับแหล่งเรียนรู้
เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความรู้ที่มีกับกลุ่มอื่น ๆ
ร่วมกับการพัฒนาความรู้ที่มีอยู่ในตัวอย่างไม่หยุดนิ่ง
เมื่อพัฒนาไประยะหนึ่งนอกจากเกิดผลกับตัวเองและครอบครัว หนี้สินลดลง
สุขภาพดีขึ้น มีความสุข
และเริ่มคิดถึงสังคมทำให้ยกระดับการเรียนรู้ขึ้นเป็นคุณอำนวย
โดยท่านทั้งสองมีความเห็นว่า คุณอำนวยคือ
คุณกิจที่มีความสามารถและเป็นผู้ใฝ่รู้ที่ทดลองพิสูจน์การปฏิบัติที่สามารถทำได้จริง
สามารถเป็นผู้นำในการสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรหันมาเปลี่ยนวิธีคิด
และวิธีปฏิบัติในการเกษตร แสดงให้เกษตรกรเห็นถึงประโยชน์ที่ได้รับ
และยอมรับ
ขณะนี้ได้ขยายผลต่อยอดไปสู่การปลูกฝังเกษตรกรรุ่นใหม่ให้กับเยาวชน
การจัดทำโครงการทายาทเกษตรในโรงเรียน
ประเด็นสำคัญในเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่มีค่ามากอันหนึ่งคือ
ความสำคัญของการเปลี่ยนวิธีคิดอยู่ตรงที่ ถ้าเราเปลี่ยนวิธีคิดได้
พฤติกรรมเราจะเปลี่ยนหมด ถ้าไม่เปลี่ยนวิธีคิด
พฤติกรรมอาจเปลี่ยนได้แต่ไม่ถาวรและไม่เชื่อมโยง เช่น
ถ้าเราแค่เปลี่ยนการผลิตมาใช้สารชีวภาพ
แต่วิถีชีวิตยังคงพึ่งพาวัตถุอย่างนี้ไม่เปลี่ยนวิธีคิด
หากเปลี่ยนวิธีคิดพฤติกรรมทั้งหมดต้องเปลี่ยนไปสู่การแอบอิงอยู่กับธรรมชาติ
พึ่งพาธรรมชาติ รวมไปถึงมีชีวิตอยู่อย่างเพียง
การเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากการปฏิบัติ: การส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี
การนำเสนอบทเรียนของการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ผ่านรูปแบบที่เรียกว่า
โรงเรียนชาวนา โดยคุณณรงค์ อ่วมรัมย์ ซึ่งเป็นคุณอำนวย
และคุณสนั่น เวียงขำ ที่เป็นคุณกิจ มาเล่าให้ฟังว่า
โรงเรียนชาวนาที่วัดดาวนั้น มีวัตถุประสงค์
เพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ของชาวนาในการทำนาที่ไม่ใช้สารเคมี
ระบบการผลิตแบบลดต้นทุน ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูวัฒนธรรมท้องถิ่น
เพื่อครอบครัวเป็นสุข เกษตรกรรมยั่งยืน
โดยพยายามชี้ให้เกษตรกรเห็นถึงวิกฤตปัญหาสุขภาพการใช้สารเคมี แพ้ยา
และตกอยู่ในกับดักเชิงโครงสร้างที่ไม่อาจหลุดพ้นไปได้มาหลายชั่วอายุคน
เพื่อหาทางหลุดพ้นไปจากสภาพปัญหานี้ ใช้กระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
โดยเน้นการหาสารทดแทนสารเคมี จากการศึกษาดูงาน เก็บเกี่ยวประสบการณ์
จากที่ต่าง ๆ สรุปประเด็นจากเวทีระดมปัญหา ทั้งด้านเมล็ดพันธุ์
การเตรียมดิน ปุ๋ย จนทำให้พัฒนาเป็นหลักสูตร 3 หลักสูตร
ในการจัดการจัดกระบวนการเรียนรู้ของชาวนา คือหลักสูตรแมลง
หลักสูตรปรับปรุงดิน และหลักสูตรการคัดเมล็ดพันธุ์ข้าว
กิจกรรมของโรงเรียน
ใช้การเรียนการสอนในแต่ละครั้งเป็นเวทีในการเรียนรู้ในการทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อเอาความรู้ที่มีอยู่ในตัวบุคคลออกมาแลกเปลี่ยนกัน
แล้วนำไปทดลองจริง มีการจดบันทึก วาดรูป เขียนเป็นสูตรสำเร็จต่างๆ
เพื่อให้ไปทดลองใช้กัน แล้วนำมาแลกเปลี่ยนในเวที ที่สำคัญคือ
การสร้างพลังในการการสร้างแรงจูงใจ
การให้กำลังใจกันภายในกลุ่มด้วยวิธีการเขียนให้กำลังใจตัวเองกับเพื่อน
ถือว่าสำคัญมาก เพราะชาวนาที่มาทำอย่างนี้จะถูกมองว่าแปลกกว่าคนอื่น
จึงต้องเติมพลังให้กัน นอกจากนี้ยังมีเวทีเรียนรู้ข้ามกลุ่ม คือ
เรียนรู้กับโรงเรียนอื่น
และมีการถอดบทเรียนการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง
จนทำให้เกิดเป็นขุมความรู้ทั้งเอกสารต่างๆ มากมาย
บทเรียนที่น่าสนใจของลุงสนั่นก็คือ
บางครั้งการเปลี่ยนความคิดอย่างสิ้นเชิงนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
เพราะมีความกังวลถึงผลที่ตามมา อาจจำเป็นต้องทดลองทำแต่น้อย
เมื่อได้ผลแล้วผลนั้นจะมาช่วยปรับความคิดให้มั่นใจขึ้นและจะนำไปสู่การเปลี่ยนวิธีคิดอย่างสิ้นเชิงได้ในที่สุด
การสร้างเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ :
การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างชาวบ้าน
เจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมการเกษตร เจ้าหน้าที่สุขภาพ
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเวทีดังกล่าวมีลักษณะของการอภิปรายกลุ่มย่อยแล้วนำผลของแต่ละกลุ่มมานำเสนอ
พร้อมกับแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน และมีผู้ทรงคุณวุฒิ คือ
คุณลุงประยงค์ รณรงค์ แม่ทองดี โพธิยอง และลุงสุรินทร์
กิจนิตย์ชีว์ มาร่วมแลกเปลี่ยนด้วย
การนำเสนอจะเริ่มจากประเด็นของชาวบ้าน (คุณกิจ) ก่อน
และค่อยต่อยอดเป็นองค์กรต่างๆ ทั้งภาคราชการ
ภาควิชาการมาช่วยกันเสริม
บทเรียนการสร้างเครือข่ายการเรียนรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์
ตามคำบอกเล่าของที่ประชุม สรุปได้ว่าเริ่มจากหน่วยเล็กๆ ในครัวเรือน
คือเกษตรกรปรับเปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนพฤติกรรม
จากการทำการเกษตรแบบใช้สารเคมี หรือกระบวนทัศน์แบบทุนนิยม
จนเกิดผลกระทบต่อตัวเองและสมาชิกในครอบครัว
มาเป็นการพึ่งตนเองและอยู่กับสภาพแวดล้อม ทดลองทำ
โดยนำวิธีการบางอย่างมาใช้เพื่อให้เห็นจริง เช่น การบันทึก การสังเกต
การวัดต่างๆ ทำจนเกิดเป็นวิถีชีวิตหรือกลืนไปกับการดำเนินชีวิต
ทำให้เกิดความสุข
มีเกษตรกรหลายท่านเล่าถึงความสุขจากการที่หนี้สินลดลง สุขภาพดีขึ้น
ส่งผลต่อครอบครัวอย่างมากจนน่าประทับใจ จากนั้นจะเกิดแรงบันดาลใจ
เกิดความต้องการอยากที่จะรวมกลุ่ม ของคนที่ทำเรื่องเดียวกัน
มาแลกเปลี่ยนรูปแบบวิธีการทำการเกษตรกัน จะทำให้เข้มแข็งขึ้น
มีการดูแลจัดสรรผลประโยชน์แก่สมาชิกกลุ่ม
ต่อมาเป็นการพัฒนามาเป็นเครือข่าย ซึ่งก็คือการเชื่อมระหว่างกลุ่ม
(องค์กร) ต่างๆ 2
องค์กรขึ้นไปมาร่วมทำกิจกรรมกันเป็นเนื้อเดียวกัน ทำให้เกิดพลังมาก
และไม่ควรมองว่าความแตกต่างเป็นปัญหา
เพราะแต่ละองค์กรมีความถนัดไม่เหมือนกัน
ความไม่เหมือนกันนี้จะเป็นจุดแข็งเรียกว่าความหลากหลาย
และจากการเชื่อมความสัมพันธ์กันนั้น
ทำให้หลายเรื่องมาเป็นเรื่องเดียวกันจับมือกันเหนียวแน่น
มีผลประโยชน์ร่วมกันมีการต่อเชื่อมกิจกรรมเอาวัตถุดิบจากการผลิตกลุ่มหนึ่งไปผลิตกลุ่มหนึ่งขึ้นมาเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้นมามีการตลาดร่วมกัน
เครือข่ายมีพลังมากขึ้นที่จะไปต่อสู้กับทุนนิยมต่างๆ ได้มากขึ้น
ทำให้ชุมชนเข้มแข็งต่อสู้ตนเองได้ในอนาคต ดังตัวอย่างของหลายๆ
จังหวัดที่มีการเชื่อมองค์กรเป็นเครือข่าย เช่น พิจิตร นครสวรรค์
สุพรรณบุรี เป็นต้น เมื่อแปรสภาพกลายเป็นสถาบันเช่นนี้จะมีความยั่งยืน
และสามารถเชื่อมโยงกับเครือข่ายแนวตั้งได้แก่ ภาคราชการ
และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
นำไปสู่การพัฒนานโยบายสาธารณะของท้องถิ่นดังเช่นที่พบในกรณีของจังหวัดพิจิตร
ไม่มีความเห็น